หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

การเซ็ท Security ขั้นต่ำที่สุดที่ระบบ Wireless LAN ควรจะมี (Minimum Security)


ดยหลักๆแล้ว การทำให้ระบบ Wireless LAN มีความปลอดภัยขึ้นนั้น อย่างน้อยเราควรที่จะเซ็ทให้ครบทั้ง ข้อที่ผมกำลังจะบอกครับ ขอย้ำว่า "อย่างน้อยนะครับ"


1. เปลี่ยน SSID ซะ
SSID คือชื่อของ Network ที่เราตั้งขึ้นมาเอง โดยที่ทุกๆเครื่องในระบบต้องตั้งค่า SSID ค่าเดียวกัน โดยส่วนมากเมื่อเราซื้อ Wireless Access Point มาใหม่ๆ จะมีการตั้งค่า SSID ไว้แล้ว แต่เราควรที่จะเปลี่ยนชื่อ SSID ในทันทีที่ติดตั้ง การตั้งชื่อ SSID นั้นต้องไม่เกิน 32 ตัวอักษร และ ตัวใหญ่ตัวเล็กก็มีค่าต่างกันด้วย เช่น TonyNetwork กับ tonyNetwork ถือว่าเป็นคนละ SSID กันครับ

2. เปลี่ยน default passworddefault password ที่มากับ Wireless Access Point แต่ละยี่ห้อนั้น ไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณใช้ความพยายามซักเล็กน้อย ใน Google.com คุณก็สามารถจะรวบรวม default password ของทุกยี่ห้อได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นผมขอบอกว่า คุณจะต้องเปลี่ยน password ของ Wireless Access Point ของคุณทันทีที่เริ่มติดตั้งระบบ

3. SSID Broadcast : Disabled แปลเป็นไทยว่า "ซ่อน SSID มันซะ" SSID Broadcast คือการยอมให้เผยแพร่ SSID ให้ทุกๆเครื่องที่อยู่ในระยะส่ง สามารถที่จะเห็น Network ของเราได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ตอนเราทำการติดตั้งระบบในครั้งแรก แต่หลังจากที่เราติดตั้งเรียบร้อยแล้ว เราควรที่จะยกเลิก SSID Broadcast ในทันที เพราะการที่เราเปิดเผย SSID ของเรานั้น อาจทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดี สามารถที่จะแอบเข้ามาในระบบ Network ของเราได้ ดังนั้น.....กรุณาซ่อน SSID ของคุณซะ!

4. WEP : EnabledWEP (Wired Equivalent Privacy) เป็นรูปแบบการเข้ารหัสแบบพื้นฐาน ซึ่งย่อมไม่มีความปลอดภัยเท่ากับ WPA (Wi-Fi Protected Access) แน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม Wireless Access Point ที่มีขายอยู่ในท้องตลาด เกือบทุกตัวจะมี WEP ยกเว้น Wireless Access Point รุ่นใหม่ๆ ที่จะมีWPA ติดมาด้วยครับ

ถ้าคุณจะใช้ WEP ขั้นแรก คุณต้องเลือก Default Transmit Key ตัวใดตัวหนึ่ง จากนั้นก็เลือกระดับของการเข้ารหัสว่าจะเป็น 64 bits, 128 bits หรือ 256 bits สุดท้ายก็ป้อน WEP key ลงไปครับ

5. MAC address filteringMAC address ทำหน้าที่เสมือนเลขประจำตัวของอุปกรณ์ network ต่างๆ ซึ่งจะไม่ซ้ำกันเลย ดังนั้นการที่เราสามารถที่จะกำหนดให้แค่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราเท่านั้น ที่สามารถเข้าสู่ network ของเราได้ ก็ย่อมจะทำให้ระบบ Wireless LAN ของเราปลอดภัยขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
เอาละครับ ว่ากันด้วยทฤษฎีมาพอแล้ว คราวนี้เรามาทดลองกันเลยดีกว่า เริ่มด้วยการเข้าไปที่หน้า Setup ที่ 192.168.0.50 แล้วก็ log in เข้าไปเลยครับ

พอเรามาถึงหน้า Home แล้ว ก็คลิ๊กที่ปุ่ม Wireless ทางด้านขวามือ หน้าจอก็จะเปลี่ยนไปตามรูป ในหน้านี้เราจะสามารถที่จะเซ็ท SSID, Channel, WEP, WEP Encryption, Key Type และ Key ได้ในหน้าเดียวเลยครับ





ในที่นี้ผมก็ได้เซ็ทค่าต่างๆตามรูปเลยนะครับ โดยที่ผมเลือกใช้ WEP Encryption 256Bit เลย เพราะเป็นการเข้ารหัสที่ดีที่สุด เรื่องของการเข้ารหัสนี่ ยิ่งมากยิ่งดีครับ ลองดูตัวอย่างของ Key1 ที่ผมป้อนเข้าไปนะครับ จะเห็นว่าผมได้พยายามใช้ตัวอักษรหลายๆแบบ โดยมีการผสมของตัวอักษร ตัวเลข และ สัญญลักษณ์ครับ ทำให้ยากสำหรับ hacker ในการเดาครับ





ส่วนการเซ็ทให้ซ่อน SSID ก็อยู่ที่ Advanced แล้วก็ Performance ครับ ตอนนี้ก็ให้ไปคลิ๊กที่ Disabled ดังรูป แล้วคลิ๊ก Apply ได้เลยครับ





คราวนี้เราก็จะมาเซ็ท MAC Filtering กันครับ ขั้นแรกเราก็ต้องหาก่อนว่า MAC address ของเครื่อง client ของเราคืออะไร ในที่นี้ผมก็จะใช้ Notebook ตัวเดิม ในการ setup ครับ วิธีหา MAC address อย่างง่ายๆก็คือ ดูจากผลลัทธ์ที่ได้จากคำสั่ง ipconfig

คราวนี้เราจะมาลองดูกันนะครับ ขั้นแรกเราต้องเปิด Command Prompt ก่อนครับ โดยคลิ๊กที่ปุ่ม Start แล้วเลือก Run...

ทีนี้ Run Windows ก็จะโผล่ขึ้นมา ให้คุณพิมพ์ cmd ลงไปแล้วคลิ๊ก OK





พอ Command Prompt Windows แสดงขึ้นมา ก็พิมพ์ ipconfig /all ลงไปดังรูป แล้วกดปุ่ม Enter ครับ





จากนั้นผลลัพธ์ของ ipconfig /all ก็จะแสดงออกมา ให้ดูบรรทัดที่ mouse ชี้อยู่ครับ อันนี้คือ MAC address ของ Wireless Network Card ของผมครับ





พอเราได้ค่า MAC Address มาแล้ว คราวนี้เราก็กลับมาที่เครื่องที่ต่อกับ Wireless Access Point แล้วเข้าไปที่ Advance แล้วก็ Filters จากนั้นเราก็ป้อน MAC address ที่เราจดมาจากเครื่อง Client ลงไปดังรูป แล้วคลิ๊กปุ่ม Apply





คราวนี้เราก็จะเป็นว่า MAC Address ของเราได้ไปอยู่ใน list ของ MAC Address ที่สามารถเข้ามาใช้ Wireless Network ของเราได้





หลังจากนั้น Wireless Access Point ก็จะ Restart ตัวเองครับ


การ setup ที่ Wireless Access Point เสร็จแล้วครับ คราวนี้เราก็มาเซ็ทที่เครื่อง Client บ้าง ให้เรา double click ที่ icon ดังภาพข้างล่างครับ





หน้าจอนี้ก็จะ pop up ขึ้นมา จะเห็นว่า เราสามารถที่จะเห็น Wireless LAN ของเราได้ครับแต่ยังไม่สามารถ connect ได้ครับ ต้อง setup WEP ก่อนโดยคลิ๊กที่ Properties ครับ





ในหน้าต่างนี้ก็ให้เราป้อน Network Key ให้เหมือนกับที่เราป้อนที่ Wireless Access Point จากนั้นก็คลิ๊ก OK ครับ





โอ๊ะโอ๋....มี error ขึ้นมาครับ จากที่อ่านดูเขาบอกว่า Network Key ยาวเกินไปครับ แสดงว่า Wireless Network Card ที่ Built-in มากับ Notebook ตัวนี้ มี WEP Encryption แค่ 128Bits ดังนั้น การที่เราเซ็ทที่ Wireless Access Point ไว้ 256Bits ทำให้ใช้ไม่ได้ครับ





พอเราไปแก้ที่ Wireless Access Point ให้เป็น 128Bits แล้วเราก็มาเซ็ทที่หน้าจอนี้ใหม่ คราวนี้จะสังเกตุว่า Network Key จะสั้นกว่ารูปที่แล้ว เมื่อป้อนเสร็จแล้วก็คลิ๊ก OK ครับ


คราวนี้จะเห็นว่าเราสามารถที่จะเชื่อมต่อกับ Wireless LAN ของเราได้แล้วครับ





ลองไปดูที่ icon ตรงมุมซ้ายล่าง จะเห็นว่าเรา connect ที่ความเร็ว 11Mbps ครับ





ตอนนี้ลองกลับไปดู Log ที่ Wireless Access Point ของเราบ้าง โดยเลือก Status และก็ Log





ลองเลือก Wireless ดู ก็จะเห็นว่า MAC Address นี่ คุ้นๆนะ อ้อ...Notebook ของเรานั่นเอง ครับ

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

## มือใหม่ถ่ายภาพเบื้องต้น ตอนที่ 9 ##

บทนี้เป็นเรื่องการถ่ายภาพอีกประเภทหนึ่ง ที่เชื่อว่าทุกคนต้องเคยผ่าน คือ การถ่ายภาพกลางคืน หรือถ่ายภาพในที่มีแสงต่ำ ๆ ....ผมไม่พูดถึงเรื่องการใช้แฟลชน่ะครับ เพราะเรื่องแฟลชต้องแยกพูดกันไปเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง

การถ่ายภาพในที่ที่มีแสงน้อย...ในส่วนตัวผมเองมักจะยึดหลักการง่าย ๆ ไว้หลายอย่าง เช่น

- ใช้แฟลชให้น้อยที่สุด จนแทบจะไม่ใช้เลย ผมมักจะเน้นเรื่องอารมณ์ภาพที่เห็นแสงและเงา เน้นการวัดแสง เพราะถ้าเราใช้แฟลช อารมณ์ภาพบางอย่างจะหายไป โดยเฉพาะมิติของภาพ(ไม่พูดถึงการใช้แฟลชชั้นสูงที่ใช้ในสตูดิโอ...เราพูดในแง่การถ่ายภาพง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันทั่ว ๆ ไป)

- เปิด ISO ให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้...ที่ผมใช้คือ 100 ยกเว้นบางสถานการณ์ที่จำเป็นจริง ๆ เช่น ไม่มีขาตั้งกล้อง หรือได้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำกว่า 30 ผมจึงจะยอมปรับความไวแสงเป็น 200 หรือ 400 แต่มักจะไม่เกิน 400.....เหตุผลมีข้อเดียวคือ ไม่อยากให้เกรนภาพหยาบเกินไปครับ (ยกเว้นที่บางคนอาจจะชอบลักษณะของเกรน ในภาพบางประเภท) 


- ใช้ขาตั้งกล้องทุกครั้ง เท่าที่ความขยันในตัวของเรายังพอมี เพราะคนที่เคยแบกขาตั้งกล้องน้ำหนัก 2 กก.ขึ้นบ่าสักสองชั่วโมงคงจะเข้าใจความจริงข้อนี้ดี ผมมักจะมีขาตั้งกล้องขนาดกลาง หัวบอลติดตัวไปทุกครั้ง (และมักจะวางลืมไว้ ต้องกลับมาหาบ่อยครั้ง)

ขาตั้งกล้องสามารถทำให้เราบันทึกภาพด้วยการเซ็ทกล้องที่จะได้ภาพมีคุณภาพได้ดีที่สุด เช่น ISO ต่ำสุด หรือเปิดรูรับแสงได้แคบพอที่จะได้ความชัดลึกที่ถูกต้องกับภาพแต่ละประเภท การใช้ขาตั้งกล้องสามารถทำให้เราใช้ความเร็วต่ำได้เท่าที่ต้องการ...

- ถ่ายเผื่อหลาย ๆ ช๊อต โดยเฉพาะในกรณีที่เราไม่มีขาตั้งกล้องและความเร็วชัตเตอร์ที่ได้ ต่ำกว่า 60 ...ผมมักตั้งถ่ายแบบ continuous ไว้สำหรับภาพประเภทนี้ เพราะบางครั้งมือเราจะสั่นไหว...การถ่ายเผื่อเลือก อาจจะ สิบ เอาแค่หนึ่ง จึงเป็นวิธีการใหม่ที่ผมมักใช้บ่อยขึ้น(หลังจากที่มาเล่นดิจิตัลแทนฟิลม์)

- ในกรณีที่ไม่มีขาตั้งกล้อง .....ถ้าเราปรับทุกอย่างแล้ว เช่น ความไวแสง ถึง 400 แล้ว หน้ากล้องกว้างสุดแล้ว ยังได้ความเร็วชัตเตอร์ไม่สูงพอที่จะทำให้ภาพไม่สั่นไหว ผมจะตั้งชดเชยไปทางอันเดอร์ 1 สต๊อฟทันที เพื่อดึงความเร็วชัตเตอร์ให้สูงขึ้นมาอีกหนึ่งเท่าตัว แล้วค่อยมาว่ากันในโฟโตช๊อพ


ภาพถ่ายคุณลุงสุชาติ ทรัพย์สิน...หนังสุชาติ...เพิ่งได้รับเกียรติยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติเมื่อปี 49

แต่ภาพนี้ถ่ายเมื่อปี 48 ...เป็นช่วงที่คุณลุงจัดไหว้ครูตะลุง และครอบครูตะลุงให้กับศิษย์ใหม่ด้วย จะเห็นพุ่มบายศรีวางอยู่ด้วย

ผมไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้อง เลนส์ไวด์ 28 มม. ที่ติดกล้องมินอลต้า 7i อยู่

เปิดหน้ากล้อง เอฟ 4 โหมด A วัดแสงไปที่บริเวณถาดอาหารคาวหวานที่วางที่พื้น แล้วชดเชยอันเดอร์ลงมาอีกครึ่งสต๊อฟ(ชดเชยอันเดอร์ โดยการเพิ่มความไวชัตเตอร์ขึ้นมาอีกครึ่งเท่า) ได้ความไวแสงประมาณ 125

รอจังหวะที่เงาของรูปหนังเป็นทางยาวพาดไปที่จอ เพื่อลดความโล่งว่างของจอหนังด้วย



ภาพนี้ถ่ายที่วัดธาตุน้อย จันดี เป็นวัดรอบนอก ชนบทของนครศรีธรรมราช ที่วัดนี้มีพระนอนกลางแจ้งที่งดงามมาก

ผมไปถึงวัดในคืนเวียนเทียน วิสาขะบูชา.....เล็งมุมไว้ จนคนเริ่มกลับ จึงขอแรงจากเด็กน้อยสามสี่คนช่วยมาเป็นแบบ...วัดแสงไปที่ฐานเจดีย์ ไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้อง เปิดหน้ากล้องกว้างสุด เลนส์ 28 มม. (รูรับแสงกว้างสุด แต่ความชัดลึกยังโอเค เพราะคุณสมบัติของเลนส์ไวด์ที่จะให้ความชัดลึกได้มาก และเลือกโฟกัส 1 ใน 3 ของระยะทาง.....เคยพูดถึงในบทก่อน ๆแล้วครับ



ภาพในวัดพระธาตุ เป็นข้างแรม เห็นดวงจันทร์เสี้ยวเกี่ยวฟ้าอยู่ด้วย(เห็นเปล่าครับ)

กล้องมินอลต้า 7i โหมด M ไม่มีขาตั้งกล้อง(อีกแล้ว)....วัดแสงปกติแล้วชดเชยอันเดอร์ประมาณ 2 สต๊อฟ เพื่อไม่ให้ดวงจันทร์เว่อร์เกินไป จัดเจดีย์เป็นเงาดำและสร้างฉากหน้าด้วยพุ่มต้นไม้ iso 100



ภาพนี้ไม่ใช้ขาตั้งกล้องครับ ถ่ายเผื่อมา 3 ภาพ
วัดแสงเฉลี่ย F/4 S/0.3s ISO800 ครับ เข้ามาปรับ Level ใน PS นิดหน่อย 




D70s กับ ISO 1600 ครับ ด้วย 80-200 f/2.8





ภาพนี้ถ่ายซูมด้วยช่วง 200 mm. ความเร็วชัตเตอร์ 1/30 รูรับแสง 2.8 วัดแสงเฉลี่ยหนักกลาง ปรับ ISO เป็น High 1 EV over 1600 ไม่ได้ใช้ขาตั้งครับผม








บทนี้ว่ากันถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือ การถ่ายภาพบุคคล 

ในส่วนตัวของผมแล้วถือว่าการถ่ายภาพบุคคลเป็นงานหินที่สุดสำหรับผม...โดยเฉพาะการถ่ายภาพบุคคลในงานแฟชั่น

หลายครั้งที่งานของเพื่อนฝูงเข้ามาจะหลีกเลี่ยงงานถ่ายลักษณะแบบนี้ได้ยาก อาศัยว่ามีความเข้าใจเรื่ององค์ประกอบพื้นฐานและเรื่องแสงเงาอยู่บ้าง พอจะเอามาช่วยในงานได้

เมื่อถ่ายภาพบุคคล สิ่งที่ผมมักจะให้ความสำคัญก่อนเสมอ คือ เรื่องแสงเงา และฉากหลัง รวมถึงองค์ประกอบรอบรอบตัวว่าจะดึงมาช่วยกับการถ่ายแบบของเราได้มากน้อยแค่ไหน



ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม...บางทีนางแบบนายแบบจะเด่นขึ้นมาได้ ไม่ใช่เพราะตัวแบบเพียงอย่างเดียว แต่ต้นไม้ที่อยู่ด้านข้างแล้วดึงเข้ามาเป็นแบบ แนวของต้นไม้ แนวของสิ่งก่อสร้าง จะสามารถมาช่วยเราได้ทั้งนั้น เพียงแต่ต้องควบคุมเรื่องความชัดลึกให้ดี ถ้าชัดลึกสูงไป สิ่งรอบรอบก็จะเข้ามามีบทบาทต่อภาพเรามากเกินไป ถ้าคุมชัดลึกน้อยเกินไป นางแบบอาจจะชัดแค่ส่วนเดียว ก็ทำให้ภาพลดคุณภาพลงไปได้


ภาพนี้ ผมใช้ ซูม 70-200 เอฟ 5.6 ...ใช้ที่ระยะประมาณ 150 มม.

ด้วยเพราะฉากหลังเป็นพุ่มไม้ที่อยู่ห่างไปราว 10 เมตร ดังนั้นผมสามารถเลือกใช้รูรับแสงที่ 5.6 ได้เลย โดยไม่ต้องกลัวว่าพุ่มไม้ด้านหลังจะไม่หลุดโฟกัส ซึ่งที่รูรับแสงระดับนี้ผมสามารถคุมความชัดลึกของตัวแบบได้ดีขึ้น

ภาพนี้...ในวันที่ไปถ่ายค่อนข้างครึ้มฝนมาก แสงเงาจึงขาดไปอย่างน่าเสียดายมากครับ (ซอฟต์ มาทำในโฟโต้ช๊อพ)



length 37 mm f2.8 1/3sec ISO 1600





สุดท้ายแล้วนะครับ

ผมเข้าใจสภาพของคนที่เพิ่งหัดจับกล้อง ไม่รู้จะเริ่มต้นที่ตรงไหนดี อยากถ่ายภาพเป็น อยากก้าวหน้าในการถ่ายภาพ แต่คลำทางไม่ค่อยถูก ว่าจะเดินไปทางไหน

"มือใหม่ ถ่ายภาพเบื้อต้น" จึงเป็นห้องเรียนที่มีบรรยากาศง่าย ๆ สบาย ๆ เริ่มจากตอนที่ 1 ..ผมเขียนไปเรื่อย ๆ จนถึงตอนนี้ก็ 9 ตอน

ผมคาดว่า ความรู้เบื้องต้น ที่ชาวรุ๊กกี้น่าจะเรียนรู้คงเพียงพอที่จะทำให้สามารถเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงในระดับหนึ่งแล้ว...แม้ว่าบทเรียนยังมีอีกมาก แต่คาดว่าทุกคนถ้าตั้งใจจริงที่จะพัฒนาฝีมือ

การจะก้าวไปข้างหน้าได้ในระดับไหน ก็คงขึ้นกับแต่ละคนแล้วล่ะครับว่า จะมุ่งมั่น ฝึกหัด ขยัน แค่ไหน....

ขอบคุณผู้ที่มีส่วนร่วมทุกทุกท่านที่ทำให้ คอร์สเรียน 9 ตอนนี้

ขอบคุณ คุณหมอ ฝนแสนห่า ด้วยนะครับสำหรับบทความนี้ในเว็บ Pixpros

ขอให้มีความสุขกับการถ่ายภาพน่ะครับผม



## มือใหม่ถ่ายภาพเบื้องต้น ตอนที่ 8 ##

     ในการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ ...ส่วนมากคนที่เริ่มจับกล้องใหม่ ๆ นอกจากถ่ายภาพบุคคลแล้ว ภาพวิวทิวทัศน์ก็จะเป็นอีกช๊อตหนึ่งที่นิยมกัน เพื่อเป็นการบันทึกว่าอย่างน้อย เราก็เคยผ่านสถานที่แห่งนี้

การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์จะว่าง่ายก็ได้ ว่ายากก็ได้....

ง่ายก็แค่ยกกล้องขึ้นถ่ายก็ได้แล้ว....เป็นแนวบันทึกที่เราพบเห็นทั่วไป

ยากก็ตรงที่ว่า การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์เพื่อให้เห็นความสวยสดงดงามของสถานที่นั้น จำเป็นต้องมีพื้นฐานการถ่ายภาพที่แน่นเป็นเบื้องต้น(จากบทเรียนที่ 1 เป็นต้นมา ต้องงัดเอามาใช้ทั้งหมด) เพื่อจะสามารถดึงมาใช้อย่างเหมาะสมและคล่องตัว ...แม้กระทั่งจะบันทึกในแนวตั้งหรือแนวนอนก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับภาพบางภาพแล้ว

ภาพนี้ เห็นแสงสีทองส่องลอดก้อนเมฆมาเป็นจุดจุด จึงใช้กล้อง แคนนอน 10 ดี กับเลนส์ ไวด์ 20-40 ของแทมรอน ตั้งบนขาตั้งกล้อง สปีดชัตเตอร์ต่ำ เพื่อให้เห็นเมฆไหล มีจุดสนใจหลักอยู่ที่ต้นตาลทางด้านล่างของภาพ

อาจจะไม่ใช่เป็นภาพบันทึกวิวทิวทัศน์ที่ดีนัก แต่การเลือกใช้สปีดชัตเตอร์ต่ำสำหรับภาพวิวทิวทัศน์แบบนี้ ทำให้เราได้ภาพที่แตกต่างจากภาพวิวทั่ว ๆ ไปครับ




ภาพนี้งัดวิชาอะไรออกมาใช้บ้าง

1. รอเวลาที่น้ำขึ้นในช่วงแสงยามเช้า เพื่อไม่ให้เห็นพื้นดินที่ไม่ค่อยสวยนักเพราะเป็นพื้นโคลนเลน

2. ใช้ฟิลเตอร์ PL เพื่อตัดแสงสะท้อน ทำให้สีท้องฟ้าเข้มขึ้น แต่ตัดมากก็ไม่ได้อีก เพราะเมื่อตัดสีที่ท้องฟ้า อาจจะทำให้มองทะลุน้ำไปเห็นดินได้ ต้องระวังให้ดี

3. รอ รอ ให้มีเรือผ่านเข้ามาทางด้านขวาบน เพื่อถ่วงน้ำหนักกลุ่มเรือทางด้านหน้าที่เป็นจุดสนใจหลักในจุดตัดเก้าช่อง

4. วัดแสงพอดีที่ลำเรือ แทนที่จะวัดตรงพื้นน้ำ...ผมวัดแสงเฉพาะจุดไปที่ลำเรือ ชดเชยอันเดอร์ครึ่งสต๊อฟ(เพราะเป็นสไลด์ สีจะอิ่มมากขึ้น)

5. จัดแบ่งเส้นขอบฟ้ากับพื้นน้ำให้ชิ๊ฟไป 1/3 ของภาพทางด้านบน แทนที่จะแบ่งครึ่งตรงกลาง

6. เลือกรูรับแสงที่มากที่สุด โดยที่ความไวชัตเตอร์ยังสูงพอที่ถือกล้องได้โดยไม่สั่น



การใส่ฉากหน้าเข้าไปในภาพวิวทิวทัศน์ จะทำให้เกิดมิติในภาพ เห็นความลึกของสิ่งที่เราจะถ่าย เหมือนภาพที่มีทั้ง กว้าง ยาว และลึก แทนที่จะเป็น กว้าง กับ ยาว เพียงสองอย่าง

การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ สิ่งที่สำคัญ คือ การเลือกใช้รูรับแสงเพื่อเลือกความชัดลึกของภาพ...ภาพนี้ผมเลือกใช้รูรับแสงที่มากพอที่จะทำให้ด้านหน้าชัดด้วย โดยที่ความเร็วชัตเตอร์ไม่น้อยจนเกินไปที่มือจะสั่น...(ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ขาตั้งกล้องทุกครั้ง)






เวลาผมออกถ่ายภาพชีวิตผู้คน ผมมักจะออกเดินทางไปเป็นกลุ่มกับเพื่อนถ่ายภาพ อย่างน้อยก็ได้เป็นเพื่อนคุย แต่ก็มักจะไม่เกิน 5 คน ซึ่งพื้นที่ก็มักจะเป็นตามชนบท ริมถนนหนทาง ...บ่อยครั้งที่ภาพสวยได้มาแบบไม่ทันรู้ตัว ขับรถผ่านแล้วก็ต้องรีบคว้ากล้องลงไปบันทึกทันที ดังนั้นเรื่องความเตรียมพร้อมของอุปกรณ์ในการถ่ายภาพประเภทนี้ก็มีความสำคัญมาก บางมุม บางช๊อต อาจจะเกิดขึ้นแค่ไม่กี่ครั้งในชีวิต

- ภาพลักษณะแบบนี้ จุดสำคัญที่สุดก็คือ การถ่ายทอดกิจกรรมที่เขากำลังทำอยู่ให้เห็นอย่างชัดเจน ...บางคนกล่าวว่า ภาพลักษณะแบบนี้ องค์ประกอบภาพ และ แสงเงา มาทีหลัง...อย่างไรก็ต้องเอา แอ๊คชั่น และกิจกรรมไว้ก่อน

- ทุกครั้งที่ผมถ่ายภาพแบบนี้ ผมใช้ระบบที่ไม่ซับซ้อนนัก เอาความเร็วในการถ่ายภาพเป็นหลัก ดังนั้น ผมจึงมักตั้งไว้ที่โหมด A หน้ากล้องกว้างสุด หรือต่ำกว่าเล็กน้อย เพื่อหวังชัตเตอร์สปีดที่สูงพอที่จะจับแอ๊คชั่นแบบโดยการไม่พึ่งพาเจ้าสามขา ตั้งชดเชยแสงบวกลบตามสภาพของแสงและจินตนาการ ถ่ายต่อเนื่องเป็นระยะ ๆ หลากหลายมุมมอง ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ทั้งมุมกว้างและมุมซูม

- สิ่งที่ทำให้เราได้มุมที่ไม่ดีมากนักในการถ่ายภาพบันทึกภาพแบบนี้ ก็เพราะเรามักจะเขิน กลัว หรือ เกรงใจ ตัวนายแบบ...วิธีแก้ง่ายมากครับ ผมใช้วิธีทักทาย แล้วยิ้มให้เขา แล้วชวนคุยสิ่งที่เขากำลังทำ ร้อยทั้งร้อย เมื่อเขาเห็นเราถือกล้องแบบมืออาชีพเข้าไปหา เขาจะค่อนข้างระแวง ดังนั้นรอยยิ้มของช่างภาพ พร้อมคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค จะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างมากเลยครับ


ช๊อตนี้ ผมขับรถมาทำงานในตอนเช้า คุณลุงเดินไล่ต้อนฝูงวัวมาพอดี เบาะหลังรถกระบะผม มีเจ้าสิบดีติดเลนส์ 75-300 ของแทมรอนวางอยู่ การ์ด 2 กิ๊กเสียบอยู่ในช่องอย่างพร้อมเพรียง

ผมลงมาทักทายเล็กน้อย จนคุณลุงหันมายิ้ม บอกเป็นนัยว่า ถ่ายได้แล้ว...ผมก็เลยรัวไปเยอะ

แต่...แว่บเดียวที่คิดได้ ตะโกนบอกคุณลุงว่า ลุงยกมือชูไม้ให้สูงสูง ทำท่าตีวัวไปเรื่อย ๆ ....จึงได้ภาพนี้มาครับผม


ภาพนี้ได้มาจากการคาดเดาล่วงหน้าว่า อีกสิบนาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น

ผมเห็นคุณป้าสองคนนั่งสวดมนต์ที่หน้าอุโบสถ นั่งนิ่งงงงงงง อยู่นาน ผมเริ่มคิดว่า อีกสักพัก เวลาคุณป้าสวดมนต์เสร็จ จะเกิดอะไรขึ้น

ใช้ไวด์ 28 ของกล้องมินอลต้า 7i รอถ่ายภาพ...จนเมื่อเสร็จจากภาระกิจ สองคนก็หันมาคุยกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ผมบันทึกภาพนี้ไว้ให้ครอบคลุมไปถึงพระพุทธรูปด้านหน้าด้วย เพื่อให้เรื่องราวที่จะสื่อไปถึงคนดูสมบูรณ์ขึ้นครับ


ขับรถพาสมาชิกสามสี่คนไปถ่ายภาพแถวชานเมือง เห็นคนกำลัง "ซัด" ยาฆ่าหอยเชอรรี่

เดินเข้าไปใกล้ ๆ หาฉากหลังที่เคลียร์หน่อย ใช้โหมดถ่ายต่อเนื่อง จับจังหวะช่วงที่มือปล่อยยาออกมาเป็นลำก้อน


บางครั้งภาพชีวิตผู้คนก็ได้มาแบบ ครั้งเดียวในชีวิต

อย่างภาพนี้...กำลังเล็งแถวของพระและเด็กวัด มีลูกหมา(วัด)โผล่มาจากที่ไหนไม่รู้ มาเข้ากล้องด้วย ผมกดได้แค่สองแช๊ะ ลูกหมาก็วิ่งแตกแถวออกมาเสียแล้ว


ที่หาดสงขลา หมู่บ้านชาวประมง เก้าเส้ง...ตอนเช้า กิจกรรมของชาวเล

เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ไม่เร่งรีบนัก ผมไปทักทายทำความรู้จัก แล้วขอร้องให้แบบช่วยหันมุมที่เห็นแสงเฉียงมาทางด้านหน้าของผม เพื่อสร้างริมไลท์ที่ตัวแบบ

ผมถ่ายไปพลาง ชวนคุยเรื่องของเขาไปด้วย (เรื่องทำมาหากิน) เราก็จะได้ภาพที่ดีมาเพิ่มในสต๊อคของเราอีกชุดหนึ่งคับ 



เป็นลีลาที่สวยงามมากครับ

เช่นเดียวกัน ทักทาย พูดคุย ถ่ายภาพไปเรื่อย ๆ ไม่ให้นางแบบเกร็ง แล้วรอจังหวะที่สวยที่สุด  


หมดแล้วครับสำหรับตอนนี้ครับ ใกล้จะจบแล้วนะครับเหลืออีกไม่กี่ตอนครับผมเจอกันตอนหน้าครับ



วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

## มือใหม่ถ่ายภาพเบื้องต้น ตอนที่ 7 ##


ผมขออนุญาตนำบทความของคุณดัส จากเว็บ Pixpros.net บางส่วนมานำเสนอเป็นตัวอย่างน่ะครับ

ถ้าวันนี้จะเริ่มถ่ายภาพ มาโคร ?? จะต้องมีอะไรบ้าง

1. กล้อง อิอิ แน่นอน ต้องมี

ถ้าเป็นกล้อง DSLR ก็ต้องดูต่อ แต่ถ้าเป็นกล้อง compact
ทุกกล้องสามารถถ่าย มาโครได้ ให้หาคู่มือมาดู แล้ว อ่านไปจนกระทั่งสามารถปรับกล้อง
เข้าสู่ โหมด มาโคร ได้นะจ๊ะ

2. เลนส์มาโคร สำหรับพวก DSLR เลนส์นี้จะมีคุณสมบัติพิเศษ
สามารถทำให้เราเข้าใกล้วัตถุได้มาก เมือเข้าใกล้ได้มาก ทำให้วัตถุนั้น มีขนาดใหญ่ขึ้น
ตามลำดับ

ทีนี้ ถ้าไม่มีเลนส์มาโคร ก็อย่างที่บอก ... อาจใช้เลนส์ tele แทนได้ ซึ่งจะได้อธิบายต่อไป

3. Flash ไม่แนะนำแฟลชหัวกล้อง แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องใช้

4. สายลั่นชัตเตอร์ และ สายแยกแฟลช .... สายลั่นชัตเตอร์ ไม่บังคับว่าต้องมี
แต่ถ้ามี จะทำให้การถ่ายสะดวกดาย

5. ขาตั้งกล้อง .... ถ้าถ่ายคนเดียว อาจต้องใช้ แต่ถ้าถ่ายหลายคน แบบ มาโครสามัคคี ก็ไม่ต้อง
สำหรับท่านที่ยังไม่มีขาตั้งกล้อง แนะนำให้ซื้อแบบกางราบได้ ... เผื่อเจอทากและอยากถ่าย จะได้กางได้

6. อุปกรณ์ประกอบฉาก ได้แก่ ผ้าดำ กระจก ฟอกกี้ กระดาษฟรอยด์ ฝากระป๋องนม ....


เมื่อมีอุปกรณ์ครบแล้ว ก็ไปเริ่มถ่ายมาโครกันได้เลย

เมื่อเตรียมอุปกรณ์เรียบร้อย .... (สมมติว่ามีก็แล้วกันนะ)

เริ่มไปถ่ายมาโครกันได้เลย

ก่อนอื่น ต้องเอาความชอบส่วนตัวก่อนว่า อยากได้ภาพมาโครของอะไร

บางคนชอบดอกไม้

บางคนชอบแมลง

บางคนชอบสัตว์ที่น่ากลัวกว่านั้น

บางคนอาจชอบอะไรที่เป็นนามธรรม เช่น หยดน้ำ หรือ ซากจักจั่น อะไรประมาณนี้

เมื่อเลือกวัตถุที่จะถ่ายได้แล้ว ก็หาว่า ที่ที่วัตถุนั้นอยู่หน่ะ มันที่ไหน เราจะไปถ่ายได้อย่างไร จัดแจงทุกอย่างเสร็จก็ไป

เมื่อมาถึงที่ เอ้ย ถึงสถานที่ที่จะถ่ายแล้ว .... แน่นอน ทุกคนมีเป้าหมายใจดำแล้วว่าจะถ่ายอะไร

ถ้ายังไม่รู้ ก็ลองมอง ๆ หาสิ่งที่เราสนใจ อ๊ะ พบแล้ว (สมมติ) ว่าจะถ่ายอะไรซักอย่างหนึ่ง

การเลือกวัตถุที่จะถ่าย มีหลักการอย่างนี้นะ

1. อย่าเพิ่งรีบถ่าย ... บางคนเห็นดอกไม้ ก็รีบถ่าย เห็นแมลงก็รีบถ่าย พิจารณาอะไรซักนิดหน่อย

2. ตรวจสอบความสมบูรณ์ของสิ่งที่จะถ่าย

หลายคนมองข้ามจุดนี้ ภาพเลยออกมาด้อย โดยเลี่ยงไม่ได้

จะถ่ายดอกไม้ก็เลือกดอกให้มันสวยหน่อย สมบูรณ์หน่อย กลีบดอกครบถ้วน ไม่ขาดไม่แหว่ง หรือโดนแมลงกัดแทะ สีสันสวยงาม

จะถ่ายแมลงก็เลือกหน่อย ... เอาที่มันน่าสนใจ อาจเป็นเรื่องสี หรือผิวหนัง หรือ อะไรก็ได้

3. ตรวจสอบองค์ประกอบรอบข้าง ว่าเอื้ออำนวยให้ภาพสวยหรือไม่
บางที่สิ่งที่เราจะถ่ายมันอยู่ท่ามกลางสิ่งไม่น่าถ่าย เช่นนนน

ผีเสื้อกำลังเกาะอยู่ที่ซากต๊ะแตนตาย หรือ หนอนกะลังเกาะ ..... คลี่ อยู่ นี่ก็ไม่น่าถ่าย

ดังนั้น ก่อนถ่ายมาโคร สิ่งที่ต้องทำ เน้นเลยนะจ๊ะ ว่าต้องทำ ... คือ


เลือกสิ่งที่จะถ่าย ให้ perfect ที่สุดดดดดดดดดด


แค่นั้นคงยังไม่พอ ภาพมาโครเนี่ย .... นอกจากวัตถุที่เราถ่ายจะสำคัญแล้ว

ฉากหลัง

ที่หมายถึงภาพที่จะเกิดขึ้นด้านหลังวัตถุ ก็สำคัญพอ ๆ กัน เมื่อได้วัตถุแล้ว
เราต้องเริ่มมองฉากหลังเป็นอันดับต่อไป

ฉากหลังที่ดีเป็นอย่างไร ????

คำตอบคือ .... ตอบไม่ได้ครับ ขึ้นกับวัตถุประสงค์

เอาตามตำราก่อน ... เค้าว่ากันว่า

ฉากหลังที่ดี ย่อมมีความเป็นเอกภาพ เป็นเนิ้อเดียวกัน ไม่แย่งความเด่นไปจากวัตถุที่จะถ่าย ไม่รบกวนสายตา ไม่มีความสับสนเกิดขึ้น ไม่ทำให้สมดุลของภาพเสียไป และไม่อะไรต่อไม่อะไรอีกเยอะ

เอาง่าย ๆ ว่า เลือก เนียน ๆ หน่อย แค่เนี้ยแหละ

ถ้า วัตถุ กับ ฉากหลังเลือกไม่ดี ....

ภาพมาโครของคุณ ด้อยไปแล้ว 80%

การถ่ายภาพมาโคร ในขั้นแรก ผู้ถ่ายจะต้องเข้าใจประเด็นเรื่อง

ความชัด ของภาพ ซะก่อน

คำว่า ความชัด หมายเอาอย่างตื้น ๆ ก็คือ ถ่ายภาพไม่ให้สั่น

แต่ถ้าจะหมายเอาอย่างลึกกว่านั้น นอกจากจะไม่ให้เบลอแล้ว ยังต้องชัด ในจุดที่ควรชัด
และเบลอ ในจุดที่ควรเบลอ ( RBJ อย่าเพิ่งแนะนำ blur tools นะ)

แน่นอน ถ้าจะถ่ายไม่ให้ภาพสั่น speed ชัตเตอร์เป็นเรื่องที่ไปศึกษาเอาเอง

ปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อช่วงความชัดก็คือ

ตัว C จ้า อันได้แก่ ทางยาวโฟกัส และ ช่องรับแสง

ทางยาวโฟกัส ยิ่งสั้น ช่วงความชัดจะมากกว่า ทางยาวโฟกัสที่ยาวกว่า ( อย่าจำว่า ทางยาวโฟกัสสั้น จะชัด ทางยาวโฟกัสยาวจะไม่ชัดนะ ให้จำแบบที่ให้ท่อง)

ช่องรับแสงก็เหมือนกัน ยิ่งช่องใหญ่(เลขน้อย) ช่วงความชัด จะน้อยกว่า ช่องเล็ก (เลขมาก)

อิอิ หมายความว่า

ที่ระยะเท่ากัน ถ้าใช้เลนส์มุมกว้าง ก็จะได้ความชัดมากกว่าใช้เลนส์ เทเล
ถ้าเปิด F 8 ย่อมมีช่วงความชัดมากกว่า F 2.8 เป็นแน่แท้

ภาพนี้ใช้กล้อง DSLR like ของ มินอลต้า Dimage 7i โหมดมาโคร โฟกัสไปที่ดวงตา








กล้องแคนนอน 10 ดี + มาโครทิวบ์ เบอร์ 25 + 70-200 ED canon ขาตั้งกล้อง
(รายละเอียดไม่มั่นใจเท่าไหร่) เช็คความชัดลึกให้คลุมดอกที่ชัด...จัดดอกที่ไม่ชัดให้ถ่วงน้ำหนัก ใช้ดอกชัดอยู่ในจุดตัด และวางเป็นเส้นทะแยง หาฉากหลังที่เคลียร์


มินอลต้า Dimage 7i ....โหมด A มาโคร เอฟ 8


กล้อง Canon 350D
เลนส์ Sigma 17-70, iso 200, F4.5, Speed1/800, ถ่ายที่ช่วงเลนส์ 70mm






มีเคล็ดลับเรื่องการฉีดน้ำดอกไม้มาฝากกันนิดหนึ่งครับ

เคยเห็นกระบอกฉีดน้ำที่เขาใช้ฉีดเพื่อพรมผ้าเวลารีดผ้ามั๊ยครับ....

บางครั้งผมเอาติดตัวไปถ่ายภาพมาโครด้วย......

ตรงหัวจะปรับขนาดรูที่น้ำพุ่งออกมาได้ โดยการหมุนหัวของมัน

เวลาใช้งาน เช่น ประพรมให้ดอกไม้หรือใยแมงมุมมีหยดน้ำมาเกาะ แต่ก็ต้องให้ดูเป็นธรรมชาติด้วย ผมจะปรับไปที่รูเล็กที่สุด

แต่..

แม้จะปรับจนรูเล็กที่สุดแล้วก็ตามเวลาไปฉีดพ่น ก็จะยังไม่เห็นหยดน้ำเป็นธรรมชาติ

ถ้าเราสังเกตุเห็นเวลาเรากดหัวปั๊ม จะมีกลุ่มหยดน้ำกลุ่มที่ 1 เม็ดเล็กสุดแล้วตามที่ปรับได้ จะพุ่งออกไปตามแรงที่พ่น แต่ก็ยังมีหยดน้ำอีกกลุ่มหนึ่งที่พุ่งออกมาด้วย เป็นกลุ่มเล็กๆ เม็ดเล็กกว่า คือ กลุ่มที่ 2 ซึ่งจะไม่พุ่งไปตามแรงกดมากนัก แต่จะปลิวไปตามแรงลมเบา ๆ ได้

ผมจะใช้หยดน้ำกลุ่มที่สองนี่แหล่ะครับที่จะให้ลอยไปลงบนกลีบดอกไม้ จะได้หยดน้ำที่เป็นหยดจริง ๆ โดยที่ผิวของใบหรือกลีบดอกไม่เปียกแบบแฉะเกินไป

ลองดูน่ะครับผม 



ขอจบตอนนี้ไว้เท่านี้นะครับเจอกันตอนหน้าครับ