บทความนี้ผมได้เอามาเรียบเรียงใหม่จากเว็บบอร์ดของ http://www.pixpros.net/
โดย คุณฝนแสนห่า ครับผม
เริ่มจากกลไกรการทำงานของกล้องก่อนละกันนะครับ
กล้องที่สมาชิกใช้อยู่ มี 2 แบบง่าย ๆ คือ
กล้องที่เปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ (หลายคนเรีกกล้องคอมแพ๊ค...)
กับกล้องที่เปลี่ยนเลนส์ได้ (ที่เราใฝ่ฝัน) คือ กล้อง single lense
reflex
กล้องทั้งสองแบบมีกลไกในการเกิดภาพไม่ต่างกันเลยครับ คือแสง(หรือภาพ)
จะวิ่งเข้าทางเลนส์ ไปตกกระทบที่ฟิลม์ หรือ CCD หรือ CMOS
เพื่อให้ไปเกิดภาพที่นั่น
ผมเอากล้องรุ่น FM 10 ที่ใช้ฟิลม์มาใช้อธิบาย
เพราะสามารถเปิดดูตรงที่ฟิลม์อยู่ได้ด้วย จะได้จินตนาการได้ดีกว่า
กล้องชนิดแพง ๆ นี่
จะสามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้...ผมลองถอดออกมาดูน่ะครับ
จะเห็นตัวเลขหลายแถวเลยครับ.....(เลนส์รุ่นใหม่
ๆ จะไม่ค่อยบอกให้รู้ แต่จะไปเห็นในตอนที่เรามองช่องมองภาพทีเดียวเลย)
ตัวเลขที่เห็นอยู่นี่
เป็นตัวเลขของรูรับแสงที่เลนส์จะเปิดให้แสงเข้าไปในกล้อง....ตัวเลข 22
คือตัวเลขที่บอกค่ารูรับแสง "แคบสุด" ของเลนส์ตัวนี้ ....3.5
คือค่าตัวเลขของรูรับแสงที่กว้างสุดของเลนส์ตัวนี้
จำง่าย ๆ "ตัวเลขมาก
คือรูแคบ ...ส่วนตัวเลขน้อย คือ รูกว้าง"
อันนี้ต้องจำครับ
เพราะเราต้องนำไปใช้ตลอดชีวิตการถ่ายภาพของเรา
ตัวเลขแถวนี้ เป็นตัวบอกระยะทางของการโฟกัส ..เมื่อเราจะถ่ายภาพ
เราต้องหมุนกระบอกเลนส์เพื่อโฟกัสให้ภาพชัดที่สุด(ภาพไม่เบลอ..หรือภาพซ้อนสองชั้นกลายเป็นชั้นเดียวกัน)...ระยะนี้จะช่วยยืนยันการโฟกัสอีกทีหนึ่ง
มีทั้งเป็นเมตรและเป็นฟุต.....
เลนส์รุ่นปัจจุบันอาจจะบอกตัวเลขเหล่านี้แค่หยาบ
ๆ เพราะส่วนใหญ่เป็นออโต้โฟกัส
ส่วนตัวเลขแถวล่างสุด 35-70 นั้น เป็นตัวเลขบอกค่าว่าเราหมุนซูมเลนส์ไปที่ระยะกี่ มม.....ตัวเลขน้อยจะซูมดึงภาพได้น้อยกว่า(แต่ได้มุมกว้างกว่า) ตัวเลขมากยิ่งซูมภาพเข้ามาได้ใกล้กว่า เช่น เลนส์ถ่ายนก จะใช้ประมาณที่ 1000 มม.
ตัวเลข 35-70 เป็นค่าซูมกลาง ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันปกติทั่วๆไป
ที่ด้านหน้าเลนส์
จะมีตัวเลขบอกรายละเอียดของเลนส์แต่ล่ะตัวเอาไว้
ตัวเลข 35-70 คือระยะการซูมของเลนส์ตัวนี้
ส่วน 1 : 3.5-4.8 คือหน้ากล้องกว้างสุด( ที่ 35 มม. หน้ากล้องกว้างสุดที่ 3.5 แต่ที่ 70 มม. หน้ากล้องจะกว้างสุดแค่ 4.8......คือยิ่งซูม แสงยิ่งเข้ามาสู่กล้องได้น้อยลง)
เลนส์บางตัวตัวเลขจะมีค่าคงที่ เช่น 2.8 หรือ 4 (เลนส์พวกนี้เทคนิคการผลิตจะยุ่งยากกว่า ราคาจะสูงกว่าด้วย)
ตัวเลข 35-70 คือระยะการซูมของเลนส์ตัวนี้
ส่วน 1 : 3.5-4.8 คือหน้ากล้องกว้างสุด( ที่ 35 มม. หน้ากล้องกว้างสุดที่ 3.5 แต่ที่ 70 มม. หน้ากล้องจะกว้างสุดแค่ 4.8......คือยิ่งซูม แสงยิ่งเข้ามาสู่กล้องได้น้อยลง)
เลนส์บางตัวตัวเลขจะมีค่าคงที่ เช่น 2.8 หรือ 4 (เลนส์พวกนี้เทคนิคการผลิตจะยุ่งยากกว่า ราคาจะสูงกว่าด้วย)
ถ้าเราถอดเลนส์ออกมาส่อง
เราจะเห็นรูตรงกลางเลนส์เพื่อให้แสงผ่านเข้าออก
จะสังเกตุเห็นว่า ยิ่งเราเปิดที่ตัวเลขน้อย รูรับแสงจะยิ่งกว้าง เปิดที่ตัวเลขมาก รูจะยิ่งแคบ
เอ่.....แล้วไอ้ รูแคบ รูกว้าง มันจะมีผลอย่างไรต่อภาพถ่ายของเรา....
ค่อย ๆ เฉลยน่ะครับ..ว่ากันไปเรื่อย ๆ ก่อน
จะสังเกตุเห็นว่า ยิ่งเราเปิดที่ตัวเลขน้อย รูรับแสงจะยิ่งกว้าง เปิดที่ตัวเลขมาก รูจะยิ่งแคบ
เอ่.....แล้วไอ้ รูแคบ รูกว้าง มันจะมีผลอย่างไรต่อภาพถ่ายของเรา....
ค่อย ๆ เฉลยน่ะครับ..ว่ากันไปเรื่อย ๆ ก่อน
เราจะเห็นแป้นปรับความเร็วของม่านชัตเตอร์อยู่ตรงนี้
ตัวเลขนี้จริง ๆ แล้วคือตัวเลขที่เอาไปหารเลข 1 ด้วยทุกครั้ง โดยมีหน่วยเป็นวินาที
เช่น 500 คือ ตัวเลข 1/500 วินาที (จินตนาการตามไปด้วยน่ะครับ ว่า 1/500 แค่เสี้ยวเสี้ยววินาทีเท่านั้นเองน่ะครับ)
กล้องรุ่นนี้สามารถเปิดม่านชัตเตอร์ให้แสงผ่านได้ตั้งแต่เวลา 1/1 วินาที จนถึง 1/2000 วินาที
ส่วนตัว B ที่เห็นนั้น Bulb ...หมายถึงเวลาที่ม่านชัตเตอร์เปิด จะน้อย จะมาก ขึ้นกับนิ้วชี้มือขวาของเราจะกดปุ่มลั่นชัตเตอร์นานแค่ไหน .....ถ้าเรากด 2 นาทีแล้วปล่อย ม่านชัตเตอร์ก็จะเปิดค้างไว้ สองนาที ด้วย
ตัวเลข 125 ที่เห็นเป็นสีแดงนั้น...บอกว่ากล้องรุ่นนี้สัมพันธ์กับแฟลชที่ความเร็ว 1/125 วินาที หรือต่ำกว่า
B จะมีประโยชน์ในบางสถานการณ์ ที่ต้องเปิดม่านชัตเตอร์นานกว่าที่กล้องรุ่นนั้นจะทำได้
###############
เห็นตัวเลข 100 ตัวเล็ก ๆ ที่มีลูกศรชี้อยู่มั๊ยครับ.....ตัวเลขนี้เป็นตัวบอกค่าความไวแสงของฟิลม์(หรือเซนเซอร์ในกล้องดิจิตัล) เรามักจะเรียกว่า ASA หรือ ISO ....ซึ่งเราสามารถปรับตั้งใด้ง่าย ๆ (กล้องคิจิตัลบางรุ่น จะตั้งออโต้ตามสภาพแสงให้เลย...แต่ถ้ากล้องใช้ฟิลม์ไม่สามารถเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ในฟิลม์ม้วนเดียวกัน...เอ๊ะ ต้องได้ซิ .....เอ้าเปลี่ยนได้ก็ได้ แต่ต้องเข้าใจกับมันอย่างถ่องแท้...ใครสงสัยถามน่ะครับจุดนี้)
ตัวเลขนี้จริง ๆ แล้วคือตัวเลขที่เอาไปหารเลข 1 ด้วยทุกครั้ง โดยมีหน่วยเป็นวินาที
เช่น 500 คือ ตัวเลข 1/500 วินาที (จินตนาการตามไปด้วยน่ะครับ ว่า 1/500 แค่เสี้ยวเสี้ยววินาทีเท่านั้นเองน่ะครับ)
กล้องรุ่นนี้สามารถเปิดม่านชัตเตอร์ให้แสงผ่านได้ตั้งแต่เวลา 1/1 วินาที จนถึง 1/2000 วินาที
ส่วนตัว B ที่เห็นนั้น Bulb ...หมายถึงเวลาที่ม่านชัตเตอร์เปิด จะน้อย จะมาก ขึ้นกับนิ้วชี้มือขวาของเราจะกดปุ่มลั่นชัตเตอร์นานแค่ไหน .....ถ้าเรากด 2 นาทีแล้วปล่อย ม่านชัตเตอร์ก็จะเปิดค้างไว้ สองนาที ด้วย
ตัวเลข 125 ที่เห็นเป็นสีแดงนั้น...บอกว่ากล้องรุ่นนี้สัมพันธ์กับแฟลชที่ความเร็ว 1/125 วินาที หรือต่ำกว่า
B จะมีประโยชน์ในบางสถานการณ์ ที่ต้องเปิดม่านชัตเตอร์นานกว่าที่กล้องรุ่นนั้นจะทำได้
###############
เห็นตัวเลข 100 ตัวเล็ก ๆ ที่มีลูกศรชี้อยู่มั๊ยครับ.....ตัวเลขนี้เป็นตัวบอกค่าความไวแสงของฟิลม์(หรือเซนเซอร์ในกล้องดิจิตัล) เรามักจะเรียกว่า ASA หรือ ISO ....ซึ่งเราสามารถปรับตั้งใด้ง่าย ๆ (กล้องคิจิตัลบางรุ่น จะตั้งออโต้ตามสภาพแสงให้เลย...แต่ถ้ากล้องใช้ฟิลม์ไม่สามารถเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ในฟิลม์ม้วนเดียวกัน...เอ๊ะ ต้องได้ซิ .....เอ้าเปลี่ยนได้ก็ได้ แต่ต้องเข้าใจกับมันอย่างถ่องแท้...ใครสงสัยถามน่ะครับจุดนี้)
แผ่นสีดำบาง ๆ นี่แหล่ะที่เราเรียกว่าม่านชัตเตอร์(ราคาแพงหนักหนาแหล่ะครับ
ผมเคยไปแตะด้วยปลายนิ้วที่มีเหงื่อนิดหน่อย...มันเหนียวติดกันทั้งแผง
เสียค่ามือซนไปหลายพัน)
เมื่อเรากดชัตเตอร์.....กดไปครึ่งหนึ่งแค่วัดแสงกับโฟกัส แต่พอกดเต็มที่ ม่านชัตเตอร์จะมีกลไกทำงานให้เปิดออก แสงผ่านเข้ามาได้
ระยะเวลาที่ม่านชัตเตอร์เปิดแล้วปิด จะนานมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นกับว่าเราตั้งตัวเลขความไวชัตเตอร์มากน้อยแค่ไหน
แล้วความไวชัตเตอร์มากน้อยเท่าไหร่ จะให้ภาพแตกต่างกันอย่างไรบ้าง...มีแน่นอนครับ...โปรดติดตาม
เห็นแท่งสีขาวด้านซ้ายมือที่ยื่นลงมามั๊ยครับ เป็นแกนใส่ในกลักฟิลม์อีกทีหนึ่ง
ทดลองถ่ายภาพโดยเซ็ทค่าให้รูรับแสงต่างกัน. โฟกัสที่ช้างตัวแรก
ขาตั้งกล้อง..สังเกตุเห็นอะไรที่ต่างกันบ้างครับ
(ยังไม่ต้องไปนึกถึงความเร็วชัตเตอร์ก่อนน่ะครับ
ลืมไปก่อน)
สังเกตุเห็นว่าที่ หน้ากล้อง 3.5 ช้างตัวหน้าจะชัดเจน(ติ๊งต่างเอาน่ะ แหะ แหะ) ส่วนลายผ้าด้านล่างจะไม่ค่อยชัดไปเรื่อย ๆ ช้างตัวที่สองก็ไม่ชัดเอาเสียเลย
ผิดกับที่หน้ากล้อง 22 ...การชัดจะกินพื้นที่เข้าไปที่ด้านหลังได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
....วิธีจำง่าย ๆ ....เคยเล่นสายยางล้างรถกันทุกคนใช่มั๊ยครับ เมื่อเราบีบปลายสายยางให้รูเล็ก น้ำจะพุ่งไปไกล พอปล่อยมือน้ำก็พุ่งใกล้....จำแค่นี้แหล่ะครับง่ายดี
####################
ภาพแรก เราเรียกว่า มี"ความชัดลึก" ต่ำ
ภาพที่สอง เราเรียกว่ามี "ความชัดลึก" สูง
(ข้อสังเกตุว่า แม้ศัพท์จะมีคำว่าชัดอยู่ด้วย ก็ไม่เกี่ยวกับความคมชัดของภาพน่ะครับ....ความชัดลึก เป็นแค่การบอกว่า ระยะที่ชัดในภาพมีมากน้อยแค่ไหน)
เรื่อง "ความชัดลึก"....เป็นเรื่องที่สำคัญในระดับต้นๆ ของการถ่ายภาพเลยครับ...
ทีนี้ผมวกไปหาการถ่ายภาพพอทเทรต(บุคคล) ว่า ถ้าเราต้องการนางแบบเด่น
ฉากหลังหลุดโฟกัส เราจะเลือกรูรับแสงเท่าไหร่ ระหว่าง 4 กับ 22
และถ้าจะถ่ายภาพบุคคลที่ชัดทั้งนางแบบและภูเขาข้างหลังด้วย
เราจะเลือกรูรับแสงเท่าไหร่ ระหว่าง 4 กับ 22
*****ถ้าเราเปิดหน้ากล้องกว้าง แสงที่พุ่งมาจากจุดใดจุดหนึ่งของแบ๊คกราวด์
เมื่อไปกระทบเลนส์ จะกระทบได้หลาย ๆ จุด อาจจะเป็นขอบด้านขวา หรือขอบด้านซ้าย
หรือขอบบน หรือขอบล่างก็ได้...เมื่อแสงผ่านเลนส์ไปสู่ฟิลม์
จึงพร่ามัวไม่คมชัด
ถ้าเราปรับรูรับแสงให้แคบลงเรื่อย ๆ
พื้นที่ที่เลนส์ที่จะให้แสงผ่านมาโดน จะถูกบีบให้น้อยลงด้วย ภาพจึงคมชัดกว่าครับ*****
ขอให้มองช่องแรกที่ ความไวแสง 100
ก่อนน่ะครับผม
ตารางที่ให้มาเห็นอะไรที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรูรับแสง(หน้ากล้อง) และ ความไวชัตเตอร์มั๊ยครับ
...งงส์มั๊ยครับ...ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่มาจาก......
..............
สมมุติผมมีโอ่งใบใหญ่ใบหนึ่ง วางอยู่ท่ามกลางสายฝนตก มีฝาปิดมิดชิด...ถ้าเราเปรียบเทียบว่า น้ำเต็มโอ่งก็คือแสงที่เข้าสู่ฟิลม์พอดี เราจะเข้าใจง่ายขึ้น
ถ้าผมเปิดแง้มฝานิดเดียว(รูรับแสงเล็กแคบ) จะต้องใช้เวลานานนนนกว่าจะเต็ม(ชัตเตอร์ช้า)
แต่ถ้าโอ่งใบเดียวกัน เราเปิดฝาโอ่งกว้างขึ้น น้ำฝนก็จะเข้าโอ่งได้เร็วขึ้น แป๊บเดียวเต็ม เหมือนกับเราเปิดรูรับแสงกว้างขึ้น(ตัวเลขน้อยลง) ความไวชัตเตอร์ก็จะมากไปด้วย
ตารางที่ให้มาเห็นอะไรที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรูรับแสง(หน้ากล้อง) และ ความไวชัตเตอร์มั๊ยครับ
...งงส์มั๊ยครับ...ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่มาจาก......
..............
สมมุติผมมีโอ่งใบใหญ่ใบหนึ่ง วางอยู่ท่ามกลางสายฝนตก มีฝาปิดมิดชิด...ถ้าเราเปรียบเทียบว่า น้ำเต็มโอ่งก็คือแสงที่เข้าสู่ฟิลม์พอดี เราจะเข้าใจง่ายขึ้น
ถ้าผมเปิดแง้มฝานิดเดียว(รูรับแสงเล็กแคบ) จะต้องใช้เวลานานนนนกว่าจะเต็ม(ชัตเตอร์ช้า)
แต่ถ้าโอ่งใบเดียวกัน เราเปิดฝาโอ่งกว้างขึ้น น้ำฝนก็จะเข้าโอ่งได้เร็วขึ้น แป๊บเดียวเต็ม เหมือนกับเราเปิดรูรับแสงกว้างขึ้น(ตัวเลขน้อยลง) ความไวชัตเตอร์ก็จะมากไปด้วย
ที่หน้ากล้อง 8 เมื่อผมจะถ่ายภาพ ผมยกกล้องขึ้นเล็งไปที่นางแบบ
กดชัตเตอร์ครึ่งหนึ่งเพื่อวัดแสง ผมต้องปรับไปที่ ความเร็วชัตเตอร์ 125 (หรือ 1/125
วินาที) เพื่อให้เข็มชี้ที่เลขศูนย์ แสดงว่าแสงพอดี
(คือน้ำเต็มโอ่ง)
แต่ถ้าผมเห็นว่าที่หน้ากล้อง 8 นางแบบอาจจะไม่เด่น เพราะฉากหลังเด่นด้วย ผมจึงต้องลดความชัดของฉากหลังลงด้วย โดยที่นางแบบยังชัดเจนอยู่
ก็คือผมต้องลดความชัดลึกโดยการปรับหน้ากล้องไปที่ 5.6 (ฝาโอ่งเปิดมากขึ้น) เราจะได้ความเร็วชัตเตอร์เพิ่มเป็น 250 ทันที
ตัวเลข คู่ 8 - 125 กับ 5.6 - 250 ทั้งสองคู่นี้ น้ำเต็มโอ่งเหมือนกัน หรือ "ปริมาณแสง" ที่ลงสู่ฟิลม์เท่ากัน แต่ภาพจะไม่เหมือนกัน
..ถามว่า น้ำเต็มโอ่งเหมือนกัน ทำไมภาพที่ได้จึงแตกต่างกัน.....ติ๊กต๊อก ๆ ๆ ๆ
.................................................
และตัวเลขทั้งสองแถวจะสัมพันธ์กันตลอด เห็นมั๊ยครับ....เมื่อลดขนาดรูรับแสงลงหนึ่งช่วง(ตัวเลขมากขึ้น) ความไวชัตเตอร์จะช้าลงด้วยหนึ่งช่วง(ตัวเลขน้อยลง)
....................................................
ทีนี้ลองขยับไปที่แถวขวามือที่ความไวแสงเพิ่มขึ้นซิครับ...เห็นอะไร เพิ่ม เห็นอะไร ลด หรือเปล่าครับ.....สงสัยมั๊ยครับ
แต่ถ้าผมเห็นว่าที่หน้ากล้อง 8 นางแบบอาจจะไม่เด่น เพราะฉากหลังเด่นด้วย ผมจึงต้องลดความชัดของฉากหลังลงด้วย โดยที่นางแบบยังชัดเจนอยู่
ก็คือผมต้องลดความชัดลึกโดยการปรับหน้ากล้องไปที่ 5.6 (ฝาโอ่งเปิดมากขึ้น) เราจะได้ความเร็วชัตเตอร์เพิ่มเป็น 250 ทันที
ตัวเลข คู่ 8 - 125 กับ 5.6 - 250 ทั้งสองคู่นี้ น้ำเต็มโอ่งเหมือนกัน หรือ "ปริมาณแสง" ที่ลงสู่ฟิลม์เท่ากัน แต่ภาพจะไม่เหมือนกัน
..ถามว่า น้ำเต็มโอ่งเหมือนกัน ทำไมภาพที่ได้จึงแตกต่างกัน.....ติ๊กต๊อก ๆ ๆ ๆ
.................................................
และตัวเลขทั้งสองแถวจะสัมพันธ์กันตลอด เห็นมั๊ยครับ....เมื่อลดขนาดรูรับแสงลงหนึ่งช่วง(ตัวเลขมากขึ้น) ความไวชัตเตอร์จะช้าลงด้วยหนึ่งช่วง(ตัวเลขน้อยลง)
....................................................
ทีนี้ลองขยับไปที่แถวขวามือที่ความไวแสงเพิ่มขึ้นซิครับ...เห็นอะไร เพิ่ม เห็นอะไร ลด หรือเปล่าครับ.....สงสัยมั๊ยครับ
1. ถามเป็นความรู้นะครับ
แล้วฟังชั่นนี้เราจะรู้ได้งัยครับว่าน้ำเต็มโอ่งแล้วอ่ะครับ
2. ฟังชั่นนี้ DSLR มีรึปล่าวครับ |
หรือเกิดจากการคำนวณค่าต่าง ๆ เช่น เราต้องการถ่ายภาพอะไรสักอย่างในที่สลัวหรือค่อนข้างมืด วัดแสงแล้วปรากฏว่า แม้จะเปิดรูรับแสงกว้างสุดแล้วก็ตาม ยังต้องใช้ความเร็วต่ำกว่าที่กล้องมีให้ให้ เราต้องหลอกกล้อง โดยการปรับ ASA ไปที่สูง ๆ เช่น 1600 แล้ววัดแสง สมมุติได้แสงพอดีที่ 1 วินาที ...แต่เราไม่อยากถ่ายที่ ASA 1600 เราอยากถ่ายที่ ASA 100 เราก็คำนวณว่า 1600 นี่คือมากกว่า ASA 100 อยู่ 4 ช่วงแสง (เอฟสต๊อฟ....วันหลังจะลงรายละเอียดเอฟสต๊อฟ)
เมื่อคำนวณแล้ว ก็จะได้ 1 เป็น 2 เป็น 4 เป็น 8 เป็น 16 วินาที (มาจาก ASA 1600 เป็น 800 เป็น 400 เป็น 200 และเป็น 100 )
เราจึงถ่ายวัตถุที่เราอยากถ่ายโดยเปิดที่ ASA 100 โหมด M ชัตเตอร์ B (นาฬิกาจับที่ 16 วินาที)
2. มีครับ เฉพาะโหมด M ครับ
จำค่าเหล่านี้ได้จนขึ้นใจแล้วใช่มั๊ยครับ
รูรับแสง 1 , 1.4 , 2 , 2.8 , 4 , 5.6 , 8 , 11 , 16 , 22 , 32
ความไวชัตเตอร์ 1 , 2 , 4 , 8 , 15 , 30 , 60 , 125 , 250 , 500 , 1000 ...
ความไวแสง 50 , 100 , 200 , 400 , 800 ...
คำว่าเอฟสต๊อฟ เป็นค่าบอก "ปริมาณแสง" ที่เปรียบเทียบระหว่างจุดสองจุด (ผิดกับคำว่า "แรงเทียน" ที่บอกปริมาณแสงในจุดใดจุดหนึ่ง)
เช่น ถ้าที่ความไวแสง และ ความไวชัตเตอร์คงที่ ....ที่รูรับแสง 4 จะมีปริมาณแสง เข้าสู่กล้องมากกว่า ที่รูรับแสง 5.6 อยู่ 1 สต๊อฟ
หรือ ที่รูรับแสง 22 จะมีปริมาณแสงน้อยกว่าที่ 2.8 อยู่ 6 สต๊อฟ
.........................................
หรือ ถ้าให้รูรับแสง กับ ความไวแสง คงที่ ....ที่ความเร็ว 1 จะได้ปริมาณแสงเข้าสู่กล้องมากกว่าที่ ความเร็ว 500 อยู่ 9 สต๊อฟ
..........................................
หรือ ถ้าให้รูรับแสง กับความไวชัตเตอร์คงที่....ที่ความไวแสง ISO 100 จะรับปริมาณแสงได้ช้า(หรือเข้าใจง่าย ๆ ว่า น้อยกว่า) ที่ ISO 400 อยู่ 2 สต๊อฟ
................ถ้าเราเข้าใจ...สังเกตุต่อไปว่า ถ้าเราตั้ง ISO ที่ 100 คงที่
1. ความไวชัตเตอร์ 1000 รูรับแสง 8
2. ความไวชัตเตอร์ 500 รูรับแสง 11
3. ความไวชัตเตอร์ 250 รูรับแสง 16
4. ความไวชัตเตอร์ 125 รูรับแสง 22
ทั้งสี่ข้อ กล้องจะได้รับแสงเท่ากันทั้งหมด
เพราะเมื่อเราลดความไวชัตเตอร์ลง 1 สต๊อฟ(ทำให้แสงเข้าเพิ่มอีก 1 สต๊อฟ) แต่ในขณะเดียวกัน เรากลับเพิ่มค่ารูรับแสงเพื่อให้แสงเข้าน้อยลง 1 สต๊อฟด้วย...ภาพที่ได้จากการตั้งค่าทั้ง 4 ข้อ จึงได้แสงเท่ากันหมด....แต่ ภาพที่ได้จะไม่เหมือนกันครับ(คงเข้าใจเรื่องความชัดลึกแล้วใช่มั๊ยครับ)
รูรับแสง 1 , 1.4 , 2 , 2.8 , 4 , 5.6 , 8 , 11 , 16 , 22 , 32
ความไวชัตเตอร์ 1 , 2 , 4 , 8 , 15 , 30 , 60 , 125 , 250 , 500 , 1000 ...
ความไวแสง 50 , 100 , 200 , 400 , 800 ...
คำว่าเอฟสต๊อฟ เป็นค่าบอก "ปริมาณแสง" ที่เปรียบเทียบระหว่างจุดสองจุด (ผิดกับคำว่า "แรงเทียน" ที่บอกปริมาณแสงในจุดใดจุดหนึ่ง)
เช่น ถ้าที่ความไวแสง และ ความไวชัตเตอร์คงที่ ....ที่รูรับแสง 4 จะมีปริมาณแสง เข้าสู่กล้องมากกว่า ที่รูรับแสง 5.6 อยู่ 1 สต๊อฟ
หรือ ที่รูรับแสง 22 จะมีปริมาณแสงน้อยกว่าที่ 2.8 อยู่ 6 สต๊อฟ
.........................................
หรือ ถ้าให้รูรับแสง กับ ความไวแสง คงที่ ....ที่ความเร็ว 1 จะได้ปริมาณแสงเข้าสู่กล้องมากกว่าที่ ความเร็ว 500 อยู่ 9 สต๊อฟ
..........................................
หรือ ถ้าให้รูรับแสง กับความไวชัตเตอร์คงที่....ที่ความไวแสง ISO 100 จะรับปริมาณแสงได้ช้า(หรือเข้าใจง่าย ๆ ว่า น้อยกว่า) ที่ ISO 400 อยู่ 2 สต๊อฟ
................ถ้าเราเข้าใจ...สังเกตุต่อไปว่า ถ้าเราตั้ง ISO ที่ 100 คงที่
1. ความไวชัตเตอร์ 1000 รูรับแสง 8
2. ความไวชัตเตอร์ 500 รูรับแสง 11
3. ความไวชัตเตอร์ 250 รูรับแสง 16
4. ความไวชัตเตอร์ 125 รูรับแสง 22
ทั้งสี่ข้อ กล้องจะได้รับแสงเท่ากันทั้งหมด
เพราะเมื่อเราลดความไวชัตเตอร์ลง 1 สต๊อฟ(ทำให้แสงเข้าเพิ่มอีก 1 สต๊อฟ) แต่ในขณะเดียวกัน เรากลับเพิ่มค่ารูรับแสงเพื่อให้แสงเข้าน้อยลง 1 สต๊อฟด้วย...ภาพที่ได้จากการตั้งค่าทั้ง 4 ข้อ จึงได้แสงเท่ากันหมด....แต่ ภาพที่ได้จะไม่เหมือนกันครับ(คงเข้าใจเรื่องความชัดลึกแล้วใช่มั๊ยครับ)
ทบทวนการใช้งานในโหมดต่าง ๆ โหมด S กล้องบางรุ่นใช้ว่า T
น่ะครับ
ไฮเปอร์โฟกัส มีหลายนิยามครับ แต่ก็เป็นความหมายในแนวทางเดียวกัน โดยสรุปคือ
"ระยะโฟกัสที่สั้นที่สุดที่จะได้ระยะชัดลึกมากที่สุด" โดยระยะชัดจะเริ่มตั้งแต่ครึ่งหนึ่งของระยะโฟกัสไปจนถึงสุดขอบฟ้า ... ฟังแล้วงงมั๊ย งงแน่ๆ โอเค งั้นพูดภาษาคนก็ได้ คืออย่างงี้ สมมุติว่าเราอยากจะถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ ที่อยากให้ชัดตั้งแต่ฉากหน้าไปจนถึงสุดขอบฟ้าจะทำยังไง? มันมีหลายวิธีครับ แต่วิธีที่นิยมคือ การใช้ "ไฮเปอร์โฟกัส" โดยมันหลักการที่ว่า ถ้าเราโฟกัสภาพไปที่วัตถุใกล้ๆ ความชัดลึกจะตื้นมากๆ (เหมือนถ่ายภาพมาโครไง) แต่ถ้าเราไฟกัสไกลออกไปอีก ระยะชัดลึกก็จะเพิ่มขึ้นไปอีก และถ้าเรายิ่งโฟกัส ไกลออกไปอีก ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ (โดยระยะชัดจะขยายออกไปทั้งทางด้านหน้าและหลังของจุดโฟกัส) และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งระยะชัดจะมากไปจนถึงสุดขอบฟ้า (โห...) ซึ่งจุดนี้และเราเรียกว่า "ไฮเปอร์โฟกัส" แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าระยะเท่าไหร่ อันนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง ได้แก่ - ขนาดของ Image Sensor ในตัวกล้อง (ยิ่งขนาดเล็กก็ยิ่งชัดลึก ) - รูรับแสง (อันนี้คงไม่ต้องบอกนะ) - ทางยาวโฟกัส (ยิ่งทางยาวโฟกัสสั้น ระยะชัดลึกยิ่งมาก) ยกตัวอย่าง กล้อง Nikon D50 ใช้เลนส์ 18 มม. - ถ้าใช้ f/5.6 จะได้ ระยะไฮเปอร์โฟกัสที่ 2.88 เมตร (นั่นคือ ต้องเล็งโฟกัสไปที่ระยะ 2.88 เมตร จะได้ระยะชัดตั้งแต่ 1.44 เมตร - สุดขอบฟ้า) - ถ้าใช้ f/8 จะได้ ระยะไฮเปอร์โฟกัสที่ 2.04 เมตร (นั่นคือ ต้องเล็งโฟกัสไปที่ระยะ 2.04 เมตร จะได้ระยะชัดตั้งแต่ 1.02 เมตร - สุดขอบฟ้า) - ถ้าใช้ f/16 จะได้ ระยะไฮเปอร์โฟกัสที่ 1.03 เมตร (นั่นคือ ต้องเล็งโฟกัสไปที่ระยะ 1.03 เมตร จะได้ระยะชัดตั้งแต่ 0.5 เมตร - สุดขอบฟ้า) แล้วตกลงเราจะรู้ได้ไงล่ะว่าทางยาวโฟกัสเท่านี้ รูรับแสงเท่านี้ จะต้องเล็งไปที่ระยะเท่าไหร่? (นั่นสิ ยังไม่บอกนี่นา) อันนี้ต้องดูที่กระบอกเลนส์ครับ ง่ายสุดแล้ว
ทีนี้เรามาดูที่กระบอกเลนส์กันครับ บนกระบอกเลนส์ตัวอย่างนี้ จะมีตัวเลขทั้งหมด 4
แถว
แถวที่ 1 - บอกระยะโฟกัส (มีหน่วยเป็นฟุต) แถวที่ 2 - บอกระยะโฟกัส (มีหน่วยเป็นเมตร) แถวที่ 3 - สเกลสำหรับใช้หาค่าไฮเปอร์โฟกัส ซึ่งจะมีทั้งฝั่งซ้ายและขวาเหมือนๆ กัน แถวที่ 4 - วงแหวนปรับรูรับแสง (ไม่ต้องสนใจมัน) วิธีการใช้งานคือ ให้มองดูแถวที่ 2 สังเกตว่าขวาสุดจะเขียนว่า infinite ซึ่งเราต้องหมุนวงแหวนโฟกัสให้ตำแหน่งของ infinite ไปตรงกับค่ารูรับแสงที่เราใช้ (แถว 3 ฝั่งขวามือ) (ไม่ต้องพยายามหมุนให้มาถึงฝั่งซ้ายหรอกนะ เพราะมันล็อคใว้แค่นั้น แต่ถ้าคุณทำได้นั่นแปลว่าเลนส์เจ๊งแล้ว ส่งซ่อมซะนะ) ในตัวอย่างนี้ เขาหมุนมาตรงกับ f/16 นั่นแปลว่าถ้าใช้รูรับแสงที่ f/16 จะได้ระยะชัดจนถึงสุดขอบฟ้าแล้วล่ะ (เย้ๆๆ) แต่ว่า...ระยะใกล้สุดล่ะ มันอยู่ที่กี่เมตร? อยากรู้ต้องดูที่ฝั่งซ้ายแถวที่3 ตรงช่อง 16 จะชี้ไปที่ระยะประมาณ 0.75 ของแถวที่ 2 ซึ่งจะได้ระยะชัดประมาณ 0.75 เมตร (โดยประมาณ) สรุปคือ ถ้าทำตามภาพตัวอย่าง จะได้ระยะชัดตั้งแต่่ 0.75 เมตร - สุดขอบฟ้าครับ อ่านมาถึงตรงนี้แล้วงงมั๊ย (ผมยังงเลย -*-) ถ้าเราจะใช้รูรับแสงที่ f/8 ก็หมุนวงแหวนโฟกัสให้เครื่องหมาย infinite ไปที่ตำแหน่ง 8 ของแถวที่ 3 ก็จะรู้ว่าจะได้ระยะชัดตั้งแต่กี่เมตรถึงขอบฟ้า |
เพิ่มรูปเพื่อความเข้าใจมากขึ้นนะครับ
จบแล้วครับสำหรับในตอนที่ 1 แนะนำและวิธีการทำงานของกล้องและเลนซ์ครับอาจจะยาวไปสักหน่อยแต่ได้ความรู้แน่นอนครับ แล้วเจอกันในตอนที่ 2 ครับ
1 ความคิดเห็น:
Top Ten - youtube.com/watch?v=Uz2hLK7sG - Videoodl
Top Ten - Youtube.com/watch?v=Uz2hLK7sG The only YouTube channel where youtube to mp3 you can watch your favourite videos on a variety of platforms, from football to soccer
แสดงความคิดเห็น