หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

## มือใหม่ถ่ายภาพเบื้องต้น ตอนที่ 1 ##

     ก่อนอื่นเลยผมต้องขอบคุณเจ้าของบทความคนนี้ที่เริ่มต้นเขียน บทความดีๆ ที่ทำให้ช่างภาพสมัครเล่นได้อ่านกัน และผมก็ได้อ่านบทความนี้เช่นกัน ทำให้ผมรู้จักกล้อง และวิธีการถ่ายภาพมากขึ้นครับ
     บทความนี้ผมได้เอามาเรียบเรียงใหม่จากเว็บบอร์ดของ http://www.pixpros.net/
โดย คุณฝนแสนห่า ครับผม

เริ่มจากกลไกรการทำงานของกล้องก่อนละกันนะครับ


กล้องที่สมาชิกใช้อยู่ มี 2 แบบง่าย ๆ คือ กล้องที่เปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ (หลายคนเรีกกล้องคอมแพ๊ค...) กับกล้องที่เปลี่ยนเลนส์ได้ (ที่เราใฝ่ฝัน) คือ กล้อง single lense reflex
กล้องทั้งสองแบบมีกลไกในการเกิดภาพไม่ต่างกันเลยครับ คือแสง(หรือภาพ) จะวิ่งเข้าทางเลนส์ ไปตกกระทบที่ฟิลม์ หรือ CCD หรือ CMOS เพื่อให้ไปเกิดภาพที่นั่น
ผมเอากล้องรุ่น FM 10 ที่ใช้ฟิลม์มาใช้อธิบาย เพราะสามารถเปิดดูตรงที่ฟิลม์อยู่ได้ด้วย จะได้จินตนาการได้ดีกว่า 


กล้องชนิดแพง ๆ นี่ จะสามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้...ผมลองถอดออกมาดูน่ะครับ
จะเห็นตัวเลขหลายแถวเลยครับ.....(เลนส์รุ่นใหม่ ๆ จะไม่ค่อยบอกให้รู้ แต่จะไปเห็นในตอนที่เรามองช่องมองภาพทีเดียวเลย)

ตัวเลขที่เห็นอยู่นี่ เป็นตัวเลขของรูรับแสงที่เลนส์จะเปิดให้แสงเข้าไปในกล้อง....ตัวเลข 22 คือตัวเลขที่บอกค่ารูรับแสง "แคบสุด" ของเลนส์ตัวนี้ ....3.5 คือค่าตัวเลขของรูรับแสงที่กว้างสุดของเลนส์ตัวนี้

จำง่าย ๆ "ตัวเลขมาก คือรูแคบ ...ส่วนตัวเลขน้อย คือ รูกว้าง"

อันนี้ต้องจำครับ เพราะเราต้องนำไปใช้ตลอดชีวิตการถ่ายภาพของเรา 



ตัวเลขแถวนี้ เป็นตัวบอกระยะทางของการโฟกัส ..เมื่อเราจะถ่ายภาพ เราต้องหมุนกระบอกเลนส์เพื่อโฟกัสให้ภาพชัดที่สุด(ภาพไม่เบลอ..หรือภาพซ้อนสองชั้นกลายเป็นชั้นเดียวกัน)...ระยะนี้จะช่วยยืนยันการโฟกัสอีกทีหนึ่ง

มีทั้งเป็นเมตรและเป็นฟุต.....
เลนส์รุ่นปัจจุบันอาจจะบอกตัวเลขเหล่านี้แค่หยาบ ๆ เพราะส่วนใหญ่เป็นออโต้โฟกัส

ส่วนตัวเลขแถวล่างสุด 35-70 นั้น เป็นตัวเลขบอกค่าว่าเราหมุนซูมเลนส์ไปที่ระยะกี่ มม.....ตัวเลขน้อยจะซูมดึงภาพได้น้อยกว่า(แต่ได้มุมกว้างกว่า) ตัวเลขมากยิ่งซูมภาพเข้ามาได้ใกล้กว่า เช่น เลนส์ถ่ายนก จะใช้ประมาณที่ 1000 มม.

ตัวเลข 35-70 เป็นค่าซูมกลาง ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันปกติทั่วๆไป


ที่ด้านหน้าเลนส์ จะมีตัวเลขบอกรายละเอียดของเลนส์แต่ล่ะตัวเอาไว้

ตัวเลข 35-70 คือระยะการซูมของเลนส์ตัวนี้

ส่วน 1 : 3.5-4.8 คือหน้ากล้องกว้างสุด( ที่ 35 มม. หน้ากล้องกว้างสุดที่ 3.5 แต่ที่ 70 มม. หน้ากล้องจะกว้างสุดแค่ 4.8......คือยิ่งซูม แสงยิ่งเข้ามาสู่กล้องได้น้อยลง)

เลนส์บางตัวตัวเลขจะมีค่าคงที่ เช่น 2.8 หรือ 4 (เลนส์พวกนี้เทคนิคการผลิตจะยุ่งยากกว่า ราคาจะสูงกว่าด้วย)



ถ้าเราถอดเลนส์ออกมาส่อง เราจะเห็นรูตรงกลางเลนส์เพื่อให้แสงผ่านเข้าออก

จะสังเกตุเห็นว่า ยิ่งเราเปิดที่ตัวเลขน้อย รูรับแสงจะยิ่งกว้าง เปิดที่ตัวเลขมาก รูจะยิ่งแคบ

เอ่.....แล้วไอ้ รูแคบ รูกว้าง มันจะมีผลอย่างไรต่อภาพถ่ายของเรา....

ค่อย ๆ เฉลยน่ะครับ..ว่ากันไปเรื่อย ๆ ก่อน 




เราจะเห็นแป้นปรับความเร็วของม่านชัตเตอร์อยู่ตรงนี้

ตัวเลขนี้จริง ๆ แล้วคือตัวเลขที่เอาไปหารเลข 1 ด้วยทุกครั้ง โดยมีหน่วยเป็นวินาที

เช่น 500 คือ ตัวเลข 1/500 วินาที (จินตนาการตามไปด้วยน่ะครับ ว่า 1/500 แค่เสี้ยวเสี้ยววินาทีเท่านั้นเองน่ะครับ)

กล้องรุ่นนี้สามารถเปิดม่านชัตเตอร์ให้แสงผ่านได้ตั้งแต่เวลา 1/1 วินาที จนถึง 1/2000 วินาที

ส่วนตัว B ที่เห็นนั้น Bulb ...หมายถึงเวลาที่ม่านชัตเตอร์เปิด จะน้อย จะมาก ขึ้นกับนิ้วชี้มือขวาของเราจะกดปุ่มลั่นชัตเตอร์นานแค่ไหน .....ถ้าเรากด 2 นาทีแล้วปล่อย ม่านชัตเตอร์ก็จะเปิดค้างไว้ สองนาที ด้วย

ตัวเลข 125 ที่เห็นเป็นสีแดงนั้น...บอกว่ากล้องรุ่นนี้สัมพันธ์กับแฟลชที่ความเร็ว 1/125 วินาที หรือต่ำกว่า

B จะมีประโยชน์ในบางสถานการณ์ ที่ต้องเปิดม่านชัตเตอร์นานกว่าที่กล้องรุ่นนั้นจะทำได้

###############

     เห็นตัวเลข 100 ตัวเล็ก ๆ ที่มีลูกศรชี้อยู่มั๊ยครับ.....ตัวเลขนี้เป็นตัวบอกค่าความไวแสงของฟิลม์(หรือเซนเซอร์ในกล้องดิจิตัล) เรามักจะเรียกว่า ASA หรือ ISO ....ซึ่งเราสามารถปรับตั้งใด้ง่าย ๆ (กล้องคิจิตัลบางรุ่น จะตั้งออโต้ตามสภาพแสงให้เลย...แต่ถ้ากล้องใช้ฟิลม์ไม่สามารถเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ในฟิลม์ม้วนเดียวกัน...เอ๊ะ ต้องได้ซิ .....เอ้าเปลี่ยนได้ก็ได้ แต่ต้องเข้าใจกับมันอย่างถ่องแท้...ใครสงสัยถามน่ะครับจุดนี้) 



แผ่นสีดำบาง ๆ นี่แหล่ะที่เราเรียกว่าม่านชัตเตอร์(ราคาแพงหนักหนาแหล่ะครับ ผมเคยไปแตะด้วยปลายนิ้วที่มีเหงื่อนิดหน่อย...มันเหนียวติดกันทั้งแผง เสียค่ามือซนไปหลายพัน)

เมื่อเรากดชัตเตอร์.....กดไปครึ่งหนึ่งแค่วัดแสงกับโฟกัส แต่พอกดเต็มที่ ม่านชัตเตอร์จะมีกลไกทำงานให้เปิดออก แสงผ่านเข้ามาได้

ระยะเวลาที่ม่านชัตเตอร์เปิดแล้วปิด จะนานมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นกับว่าเราตั้งตัวเลขความไวชัตเตอร์มากน้อยแค่ไหน

แล้วความไวชัตเตอร์มากน้อยเท่าไหร่ จะให้ภาพแตกต่างกันอย่างไรบ้าง...มีแน่นอนครับ...โปรดติดตาม

เห็นแท่งสีขาวด้านซ้ายมือที่ยื่นลงมามั๊ยครับ เป็นแกนใส่ในกลักฟิลม์อีกทีหนึ่ง



ทดลองถ่ายภาพโดยเซ็ทค่าให้รูรับแสงต่างกัน. โฟกัสที่ช้างตัวแรก ขาตั้งกล้อง..สังเกตุเห็นอะไรที่ต่างกันบ้างครับ (ยังไม่ต้องไปนึกถึงความเร็วชัตเตอร์ก่อนน่ะครับ ลืมไปก่อน)

สังเกตุเห็นว่าที่ หน้ากล้อง 3.5 ช้างตัวหน้าจะชัดเจน(ติ๊งต่างเอาน่ะ แหะ แหะ) ส่วนลายผ้าด้านล่างจะไม่ค่อยชัดไปเรื่อย ๆ ช้างตัวที่สองก็ไม่ชัดเอาเสียเลย

ผิดกับที่หน้ากล้อง 22 ...การชัดจะกินพื้นที่เข้าไปที่ด้านหลังได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

....วิธีจำง่าย ๆ ....เคยเล่นสายยางล้างรถกันทุกคนใช่มั๊ยครับ เมื่อเราบีบปลายสายยางให้รูเล็ก น้ำจะพุ่งไปไกล พอปล่อยมือน้ำก็พุ่งใกล้....จำแค่นี้แหล่ะครับง่ายดี

####################

ภาพแรก เราเรียกว่า มี"ความชัดลึก" ต่ำ

ภาพที่สอง เราเรียกว่ามี "ความชัดลึก" สูง

(ข้อสังเกตุว่า แม้ศัพท์จะมีคำว่าชัดอยู่ด้วย ก็ไม่เกี่ยวกับความคมชัดของภาพน่ะครับ....ความชัดลึก เป็นแค่การบอกว่า ระยะที่ชัดในภาพมีมากน้อยแค่ไหน)

เรื่อง "ความชัดลึก"....เป็นเรื่องที่สำคัญในระดับต้นๆ ของการถ่ายภาพเลยครับ...

ทีนี้ผมวกไปหาการถ่ายภาพพอทเทรต(บุคคล) ว่า ถ้าเราต้องการนางแบบเด่น ฉากหลังหลุดโฟกัส เราจะเลือกรูรับแสงเท่าไหร่ ระหว่าง 4 กับ 22
และถ้าจะถ่ายภาพบุคคลที่ชัดทั้งนางแบบและภูเขาข้างหลังด้วย เราจะเลือกรูรับแสงเท่าไหร่ ระหว่าง 4 กับ 22

*****ถ้าเราเปิดหน้ากล้องกว้าง แสงที่พุ่งมาจากจุดใดจุดหนึ่งของแบ๊คกราวด์ เมื่อไปกระทบเลนส์ จะกระทบได้หลาย ๆ จุด อาจจะเป็นขอบด้านขวา หรือขอบด้านซ้าย หรือขอบบน หรือขอบล่างก็ได้...เมื่อแสงผ่านเลนส์ไปสู่ฟิลม์ จึงพร่ามัวไม่คมชัด
ถ้าเราปรับรูรับแสงให้แคบลงเรื่อย ๆ พื้นที่ที่เลนส์ที่จะให้แสงผ่านมาโดน จะถูกบีบให้น้อยลงด้วย ภาพจึงคมชัดกว่าครับ*****


ขอให้มองช่องแรกที่ ความไวแสง 100 ก่อนน่ะครับผม

ตารางที่ให้มาเห็นอะไรที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรูรับแสง(หน้ากล้อง) และ ความไวชัตเตอร์มั๊ยครับ

...งงส์มั๊ยครับ...ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่มาจาก......

..............

สมมุติผมมีโอ่งใบใหญ่ใบหนึ่ง วางอยู่ท่ามกลางสายฝนตก มีฝาปิดมิดชิด...ถ้าเราเปรียบเทียบว่า น้ำเต็มโอ่งก็คือแสงที่เข้าสู่ฟิลม์พอดี เราจะเข้าใจง่ายขึ้น

ถ้าผมเปิดแง้มฝานิดเดียว(รูรับแสงเล็กแคบ) จะต้องใช้เวลานานนนนกว่าจะเต็ม(ชัตเตอร์ช้า)

แต่ถ้าโอ่งใบเดียวกัน เราเปิดฝาโอ่งกว้างขึ้น น้ำฝนก็จะเข้าโอ่งได้เร็วขึ้น แป๊บเดียวเต็ม เหมือนกับเราเปิดรูรับแสงกว้างขึ้น(ตัวเลขน้อยลง) ความไวชัตเตอร์ก็จะมากไปด้วย  

ที่หน้ากล้อง 8 เมื่อผมจะถ่ายภาพ ผมยกกล้องขึ้นเล็งไปที่นางแบบ กดชัตเตอร์ครึ่งหนึ่งเพื่อวัดแสง ผมต้องปรับไปที่ ความเร็วชัตเตอร์ 125 (หรือ 1/125 วินาที) เพื่อให้เข็มชี้ที่เลขศูนย์ แสดงว่าแสงพอดี (คือน้ำเต็มโอ่ง)

แต่ถ้าผมเห็นว่าที่หน้ากล้อง 8 นางแบบอาจจะไม่เด่น เพราะฉากหลังเด่นด้วย ผมจึงต้องลดความชัดของฉากหลังลงด้วย โดยที่นางแบบยังชัดเจนอยู่

ก็คือผมต้องลดความชัดลึกโดยการปรับหน้ากล้องไปที่ 5.6 (ฝาโอ่งเปิดมากขึ้น) เราจะได้ความเร็วชัตเตอร์เพิ่มเป็น 250 ทันที

ตัวเลข คู่ 8 - 125 กับ 5.6 - 250 ทั้งสองคู่นี้ น้ำเต็มโอ่งเหมือนกัน หรือ "ปริมาณแสง" ที่ลงสู่ฟิลม์เท่ากัน แต่ภาพจะไม่เหมือนกัน

..ถามว่า น้ำเต็มโอ่งเหมือนกัน ทำไมภาพที่ได้จึงแตกต่างกัน.....ติ๊กต๊อก ๆ ๆ ๆ

.................................................

และตัวเลขทั้งสองแถวจะสัมพันธ์กันตลอด เห็นมั๊ยครับ....เมื่อลดขนาดรูรับแสงลงหนึ่งช่วง(ตัวเลขมากขึ้น) ความไวชัตเตอร์จะช้าลงด้วยหนึ่งช่วง(ตัวเลขน้อยลง)

....................................................

ทีนี้ลองขยับไปที่แถวขวามือที่ความไวแสงเพิ่มขึ้นซิครับ...เห็นอะไร เพิ่ม เห็นอะไร ลด หรือเปล่าครับ.....สงสัยมั๊ยครับ

Originally Posted by pakdoo2002 View Post
1. ถามเป็นความรู้นะครับ แล้วฟังชั่นนี้เราจะรู้ได้งัยครับว่าน้ำเต็มโอ่งแล้วอ่ะครับ
2. ฟังชั่นนี้ DSLR มีรึปล่าวครับ
1. รู้จากประสบการณ์เป็นหลักใหญ่ล่ะครับ..เช่น ถ่ายพลุ ต้อง ASA 100 หน้ากล้อง 8 - 11 แล้วกดชัตเตอร์จนกว่าพลุลูกที่เราต้องการจะระเบิดหมด

หรือเกิดจากการคำนวณค่าต่าง ๆ เช่น เราต้องการถ่ายภาพอะไรสักอย่างในที่สลัวหรือค่อนข้างมืด วัดแสงแล้วปรากฏว่า แม้จะเปิดรูรับแสงกว้างสุดแล้วก็ตาม ยังต้องใช้ความเร็วต่ำกว่าที่กล้องมีให้ให้ เราต้องหลอกกล้อง โดยการปรับ ASA ไปที่สูง ๆ เช่น 1600 แล้ววัดแสง สมมุติได้แสงพอดีที่ 1 วินาที ...แต่เราไม่อยากถ่ายที่ ASA 1600 เราอยากถ่ายที่ ASA 100 เราก็คำนวณว่า 1600 นี่คือมากกว่า ASA 100 อยู่ 4 ช่วงแสง (เอฟสต๊อฟ....วันหลังจะลงรายละเอียดเอฟสต๊อฟ)

เมื่อคำนวณแล้ว ก็จะได้ 1 เป็น 2 เป็น 4 เป็น 8 เป็น 16 วินาที (มาจาก ASA 1600 เป็น 800 เป็น 400 เป็น 200 และเป็น 100 )

เราจึงถ่ายวัตถุที่เราอยากถ่ายโดยเปิดที่ ASA 100 โหมด M ชัตเตอร์ B (นาฬิกาจับที่ 16 วินาที)

2. มีครับ เฉพาะโหมด M ครับ 


จำค่าเหล่านี้ได้จนขึ้นใจแล้วใช่มั๊ยครับ

รูรับแสง 1 , 1.4 , 2 , 2.8 , 4 , 5.6 , 8 , 11 , 16 , 22 , 32

ความไวชัตเตอร์ 1 , 2 , 4 , 8 , 15 , 30 , 60 , 125 , 250 , 500 , 1000 ...

ความไวแสง 50 , 100 , 200 , 400 , 800 ...

คำว่าเอฟสต๊อฟ เป็นค่าบอก "ปริมาณแสง" ที่เปรียบเทียบระหว่างจุดสองจุด (ผิดกับคำว่า "แรงเทียน" ที่บอกปริมาณแสงในจุดใดจุดหนึ่ง)

เช่น ถ้าที่ความไวแสง และ ความไวชัตเตอร์คงที่ ....ที่รูรับแสง 4 จะมีปริมาณแสง เข้าสู่กล้องมากกว่า ที่รูรับแสง 5.6 อยู่ 1 สต๊อฟ

หรือ ที่รูรับแสง 22 จะมีปริมาณแสงน้อยกว่าที่ 2.8 อยู่ 6 สต๊อฟ

.........................................

หรือ ถ้าให้รูรับแสง กับ ความไวแสง คงที่ ....ที่ความเร็ว 1 จะได้ปริมาณแสงเข้าสู่กล้องมากกว่าที่ ความเร็ว 500 อยู่ 9 สต๊อฟ

..........................................

หรือ ถ้าให้รูรับแสง กับความไวชัตเตอร์คงที่....ที่ความไวแสง ISO 100 จะรับปริมาณแสงได้ช้า(หรือเข้าใจง่าย ๆ ว่า น้อยกว่า) ที่ ISO 400 อยู่ 2 สต๊อฟ

................ถ้าเราเข้าใจ...สังเกตุต่อไปว่า ถ้าเราตั้ง ISO ที่ 100 คงที่

1. ความไวชัตเตอร์ 1000 รูรับแสง 8

2. ความไวชัตเตอร์ 500 รูรับแสง 11

3. ความไวชัตเตอร์ 250 รูรับแสง 16

4. ความไวชัตเตอร์ 125 รูรับแสง 22

ทั้งสี่ข้อ กล้องจะได้รับแสงเท่ากันทั้งหมด

เพราะเมื่อเราลดความไวชัตเตอร์ลง 1 สต๊อฟ(ทำให้แสงเข้าเพิ่มอีก 1 สต๊อฟ) แต่ในขณะเดียวกัน เรากลับเพิ่มค่ารูรับแสงเพื่อให้แสงเข้าน้อยลง 1 สต๊อฟด้วย...ภาพที่ได้จากการตั้งค่าทั้ง 4 ข้อ จึงได้แสงเท่ากันหมด....แต่ ภาพที่ได้จะไม่เหมือนกันครับ(คงเข้าใจเรื่องความชัดลึกแล้วใช่มั๊ยครับ) 


ทบทวนการใช้งานในโหมดต่าง ๆ โหมด S กล้องบางรุ่นใช้ว่า T น่ะครับ 



Originally Posted by taewtong View Post
ไฮเปอร์โฟกัส มีหลายนิยามครับ แต่ก็เป็นความหมายในแนวทางเดียวกัน โดยสรุปคือ

"ระยะโฟกัสที่สั้นที่สุดที่จะได้ระยะชัดลึกมากที่สุด"
โดยระยะชัดจะเริ่มตั้งแต่ครึ่งหนึ่งของระยะโฟกัสไปจนถึงสุดขอบฟ้า ...

ฟังแล้วงงมั๊ย งงแน่ๆ โอเค งั้นพูดภาษาคนก็ได้ คืออย่างงี้ สมมุติว่าเราอยากจะถ่ายภาพวิวทิวทัศน์
ที่อยากให้ชัดตั้งแต่ฉากหน้าไปจนถึงสุดขอบฟ้าจะทำยังไง? มันมีหลายวิธีครับ แต่วิธีที่นิยมคือ
การใช้ "ไฮเปอร์โฟกัส" โดยมันหลักการที่ว่า ถ้าเราโฟกัสภาพไปที่วัตถุใกล้ๆ ความชัดลึกจะตื้นมากๆ
(เหมือนถ่ายภาพมาโครไง) แต่ถ้าเราไฟกัสไกลออกไปอีก ระยะชัดลึกก็จะเพิ่มขึ้นไปอีก และถ้าเรายิ่งโฟกัส
ไกลออกไปอีก ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ (โดยระยะชัดจะขยายออกไปทั้งทางด้านหน้าและหลังของจุดโฟกัส)

และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งระยะชัดจะมากไปจนถึงสุดขอบฟ้า (โห...) ซึ่งจุดนี้และเราเรียกว่า "ไฮเปอร์โฟกัส"
แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าระยะเท่าไหร่ อันนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง ได้แก่
- ขนาดของ Image Sensor ในตัวกล้อง (ยิ่งขนาดเล็กก็ยิ่งชัดลึก )
- รูรับแสง (อันนี้คงไม่ต้องบอกนะ)
- ทางยาวโฟกัส (ยิ่งทางยาวโฟกัสสั้น ระยะชัดลึกยิ่งมาก)

ยกตัวอย่าง
กล้อง Nikon D50 ใช้เลนส์ 18 มม.
- ถ้าใช้ f/5.6 จะได้ ระยะไฮเปอร์โฟกัสที่ 2.88 เมตร (นั่นคือ ต้องเล็งโฟกัสไปที่ระยะ 2.88 เมตร จะได้ระยะชัดตั้งแต่ 1.44 เมตร - สุดขอบฟ้า)
- ถ้าใช้ f/8 จะได้ ระยะไฮเปอร์โฟกัสที่ 2.04 เมตร (นั่นคือ ต้องเล็งโฟกัสไปที่ระยะ 2.04 เมตร จะได้ระยะชัดตั้งแต่ 1.02 เมตร - สุดขอบฟ้า)
- ถ้าใช้ f/16 จะได้ ระยะไฮเปอร์โฟกัสที่ 1.03 เมตร (นั่นคือ ต้องเล็งโฟกัสไปที่ระยะ 1.03 เมตร จะได้ระยะชัดตั้งแต่ 0.5 เมตร - สุดขอบฟ้า)

แล้วตกลงเราจะรู้ได้ไงล่ะว่าทางยาวโฟกัสเท่านี้ รูรับแสงเท่านี้ จะต้องเล็งไปที่ระยะเท่าไหร่? (นั่นสิ ยังไม่บอกนี่นา)
อันนี้ต้องดูที่กระบอกเลนส์ครับ ง่ายสุดแล้ว 


ทีนี้เรามาดูที่กระบอกเลนส์กันครับ บนกระบอกเลนส์ตัวอย่างนี้ จะมีตัวเลขทั้งหมด 4 แถว

แถวที่ 1 - บอกระยะโฟกัส (มีหน่วยเป็นฟุต)
แถวที่ 2 - บอกระยะโฟกัส (มีหน่วยเป็นเมตร)
แถวที่ 3 - สเกลสำหรับใช้หาค่าไฮเปอร์โฟกัส ซึ่งจะมีทั้งฝั่งซ้ายและขวาเหมือนๆ กัน
แถวที่ 4 - วงแหวนปรับรูรับแสง (ไม่ต้องสนใจมัน)

วิธีการใช้งานคือ ให้มองดูแถวที่ 2 สังเกตว่าขวาสุดจะเขียนว่า infinite
ซึ่งเราต้องหมุนวงแหวนโฟกัสให้ตำแหน่งของ infinite ไปตรงกับค่ารูรับแสงที่เราใช้ (แถว 3 ฝั่งขวามือ)
(ไม่ต้องพยายามหมุนให้มาถึงฝั่งซ้ายหรอกนะ เพราะมันล็อคใว้แค่นั้น แต่ถ้าคุณทำได้นั่นแปลว่าเลนส์เจ๊งแล้ว ส่งซ่อมซะนะ)
ในตัวอย่างนี้ เขาหมุนมาตรงกับ f/16 นั่นแปลว่าถ้าใช้รูรับแสงที่ f/16 จะได้ระยะชัดจนถึงสุดขอบฟ้าแล้วล่ะ (เย้ๆๆ)
แต่ว่า...ระยะใกล้สุดล่ะ มันอยู่ที่กี่เมตร? อยากรู้ต้องดูที่ฝั่งซ้ายแถวที่3 ตรงช่อง 16 จะชี้ไปที่ระยะประมาณ 0.75 ของแถวที่ 2
ซึ่งจะได้ระยะชัดประมาณ 0.75 เมตร (โดยประมาณ)

สรุปคือ ถ้าทำตามภาพตัวอย่าง จะได้ระยะชัดตั้งแต่่ 0.75 เมตร - สุดขอบฟ้าครับ อ่านมาถึงตรงนี้แล้วงงมั๊ย (ผมยังงเลย -*-)

ถ้าเราจะใช้รูรับแสงที่ f/8 ก็หมุนวงแหวนโฟกัสให้เครื่องหมาย infinite ไปที่ตำแหน่ง 8 ของแถวที่ 3
ก็จะรู้ว่าจะได้ระยะชัดตั้งแต่กี่เมตรถึงขอบฟ้า


เพิ่มรูปเพื่อความเข้าใจมากขึ้นนะครับ

จบแล้วครับสำหรับในตอนที่ 1 แนะนำและวิธีการทำงานของกล้องและเลนซ์ครับอาจจะยาวไปสักหน่อยแต่ได้ความรู้แน่นอนครับ แล้วเจอกันในตอนที่ 2 ครับ

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

Top Ten - youtube.com/watch?v=Uz2hLK7sG - Videoodl
Top Ten - Youtube.com/watch?v=Uz2hLK7sG The only YouTube channel where youtube to mp3 you can watch your favourite videos on a variety of platforms, from football to soccer